พ่อแม่ไม่รักผม

พ่อแม่ไม่รักผม

ฤดูฝนเวียนมาอีกครั้ง คนปกาเกอะญอมุ่งหน้าไปยังนาไร่บนดอยในขณะที่ลูกหลานหิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน ผมนั่งอยู่บนชานบ้านหลังน้อย สายฝนที่โปรยปราย กิ่งไม้ที่ไหวด้วยสายลม และแสงฟ้าแปลบปลาบจาง ๆ บนผืนฟ้าไกล พาให้ใจให้หวนกลับไปยังวันเวลาหนึ่งเนิ่นนานมาแล้ว วันแรกที่ผมได้ไปโรงเรียนนั้นเป็นฤดูฝน ผมเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านในป่าเขาของรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ที่นั่นไม่มีโรงเรียน ถึงวัยเรียนแล้วผมก็ยังวิ่งเล่นอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฝนโปรยปรายลงมาเหมือนวันนี้ ผมอายุได้เกือบสิบขวบ แม่ก็ห่อเสื้อผ้าผมด้วยผ้าอ้อมของน้อง แล้วพาผมออกเดินดอยไปหาป้าที่อยู่ในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง แม่พาผมไปหาป้า แล้วก็พาผมไปฝากไว้ที่โรงเรียน จากนั้นแม่ก็แอบกลับไป เย็นวันนั้นพอโรงเรียนเลิก ผมวิ่งกลับมาที่บ้านป้าแล้วถามหาแม่ พอป้าบอกว่าแม่กลับบ้านไปแล้วและผมต้องอยู่ที่นี่เพื่อจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ผมก็ร้องไห้โฮ ปากโวยวายทั้งน้ำตาว่าแม่ไม่รักผม จึงได้ทิ้งผมไว้แบบนี้ ผมคร่ำครวญให้ป้าพากลับไปหาแม่ ในที่สุดป้าก็ใจอ่อน พาผมเดินดอยหลายชั่วโมงกลับไปบ้าน พ่อแม่ของผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปอยู่กับป้า แต่มิใยที่พวกเขาจะพร่ำบอกว่าการศึกษานั้นสำคัญแค่ไหน ผมก็อาละวาดยืนกรานว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ในที่สุด ผมจึงไปโรงเรียนที่ว่าได้เพียงวันเดียว จากนั้นไม่นาน สงครามระหว่างกองทัพรัฐบาลพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติก็เคลื่อนเข้ามาใกล้หมู่บ้านของเรา กองทัพพม่าออกคำสั่งให้หมู่บ้านผมย้ายไปยังเขตที่พวกเขาควบคุมเเพราะกลัวเราจะสนับสนุนทหารกะเหรี่ยง แน่นอนว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในพื้นที่ควบคุมอย่างนั้น พ่อแม่ของผมตัดสินใจทิ้งบ้านและไร่นาของเราเพื่อหนีมาชายแดน เรามาอยู่ที่ชุมชนคนพลัดถิ่นในพม่าชื่อ “ป้อปาท่า” ติดฝั่งไทย ไม่ไกลจากค่ายผู้ลี้ภัยโชโกลในอำเภอท่าสองยางมากนัก ตอนนั้นค่ายผู้ลี้ภัยยังไม่ทำทะเบียนรับคนมาใหม่ เราจึงพักอยู่ที่ “ป้อปาท่า” กันไปก่อน ที่ป้อปาท่านี้เอง ผมได้เริ่มไปเรียนหนังสือจริงจัง แต่ก็ไม่ต่อเนื่องอยู่ดี เพราะค่ายพักนี้อยู่ในฝั่งพม่า เมื่อไรก็ตามที่การสู้รบใกล้เข้ามา พวกเราก็ต้องหนีไปซ่อนตัวในป่า หรือหนีมาฝั่งไทย ซึ่งเมื่อทหารไทยรู้ว่าทหารพม่ากลับไปแล้ว เขาก็จะมาบอกให้เรากลับไป เมื่อทหารพม่ามาอีก เราก็ต้องหนีอีก ผมเรียนไปหนีไปอยู่แบบนั้นทั้งปี จนกระทั่งฤดูฝนปีนั้น ฝนตกหนักและฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนวันนี้ น้ำหลากจนไม่มีที่หลบภัยในฝั่งพม่า เราก็ข้ามแม่น้ำเมยเข้ามาแอบอยู่ในซอกผาตีนดอยใหญ่ในประเทศไทยอีกครั้ง ขณะที่หลบอยู่ที่นั่น น้าสาวคนเล็กของผมซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยอยู่แถว ๆ อำเภอพบพระก็มาตามหา สมัยนั้นเจ้าหน้าที่ไทยไม่เข้มงวดกับการเดินทางของผู้ลี้ภัยนัก แกเลยหาเราเจอได้ไม่ยาก น้าสะเทือนใจที่เห็นพวกเราต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แถมผมกับพี่น้องก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แกเลยว่าจะพาพี่สาวกับผมไปด้วยกัน พี่สาวผมจะได้ไปอยู่กับน้า ส่วนผมจะต้องไปอยู่กับญาติของเราอีกคนที่ค่าย ผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลก อำเภอแม่สอด ผมมองแม่ยัดกางเกงปะตูดกับเสื้อตัวเก่าสีมอ ๆ สองชุดลงในย่าม คราวนี้ผมไม่ได้อาละวาด ยอมขึ้นรถไปกับน้าโดยดี ในใจก็อยากไปเรียนหนังสือสบาย ๆ ไม่ต้องหลบหนีอยู่แบบนี้ บางทีผมคิดว่าที่ที่จะไปนั้นน้าบอกว่านั่งรถแค่สามชั่วโมง ผมคงไปมาหาพ่อแม่ได้ง่าย ๆ ด้วย วันรุ่งขึ้นป้าที่ผมไปอยู่ด้วยพาผมไปฝากเข้าโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลก ครูจัดให้ผมไปเข้าห้องป.หนึ่ง ผมเดินเข้าห้องไปเจอครูกำลังเขียนตัวหนังสือฝรั่ง ผมมองมันอย่างงุนงง ใจเต้นตูมตาม แอบนึกในใจว่า แย่แล้วเรา เขียนหนังสือตามเขาไม่ได้สักตัว ถึงเวลาพักเที่ยง ผมต้องเดินกลับไปกินข้าวบ้านป้า แต่ผมจำทางไม่ได้ ค่ายผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลกใหญ่โตกว่าหมู่บ้านทุกแห่งที่ผมเคยไป ผมจึงนั่งแอบอยู่แถว ๆ โรงเรียนจนถึงบ่าย ตอนที่เดินกลับเข้าห้องเรียน ผมรู้ว่าเพื่อนบางคนจ้องมองผม มีบางคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วย เขาคงหัวเราะกางเกงตูดปะของผมแน่ ๆ ผมลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่แล้วก็มีครูอีกคนเดินเข้ามาบอกว่า ผมต้องไปเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ไม่ใช่ป.หนึ่ง  ผมเดินตามครูคนนั้นไปนั่งในห้องอนุบาลหนึ่งกับเด็กเล็ก จนตอนเย็นครูก็มาคุยด้วยเพื่อตรวจสอบพื้นฐานความรู้ของผมอีกแล้วก็สรุปว่า ผมพอจะรู้จักตัวหนังสือกะเหรี่ยงบ้าง ดังนั้น ผมจึงควรไปเรียนชั้นอนุบาลสอง ป้ามารับตอนโรงเรียนเลิก ผมไม่ได้เล่าให้ป้าฟังเลยว่าวันนี้ผมถูกลดชั้นไปอนุบาลหนึ่งและพรุ่งนี้จะไปเรียนชั้นอนุบาลสอง ผมบอกป้าแต่ว่า ไปส่งผมหาพ่อกับแม่เถอะ ผมไม่รู้หนังสือเลยและผมควรจะกลับไปเรียนที่ป้อปาทะมากกว่า แต่ป้าไม่ว่าอะไรสักคำ วันรุ่งขึ้นแกบอกให้ผมเก็บเสื้อผ้าที่ขนมาจากบ้านไว้ แล้วเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ใส่ไปโรงเรียน ป้าเข้าไปคุยกับครูอีกที ผลปรากฎว่าผมถูกจัดให้ไปเรียนอนุบาลหนึ่งเหมือนเมื่อวาน แล้วตอนเย็นก็จะต้องไปเรียนพิเศษที่บ้านของครูทุกวัน  ผ่านไปเกือบสองเดือน พ่อกับแม่ผมก็มาเยี่ยม ผมดีใจมาก ไม่ยอมอยู่ห่างพวกเขาเลย ไม่ยอมไปเรียนหนังสือด้วย ใครจะว่ายังไงก็ไม่ฟัง พอพ่อแม่บอกว่าจะกลับ ผมก็ร้องไห้จะตามกลับ จนในที่สุดพวกเขาก็หลอกว่าจะเดินไปบ้านคนรู้จักเดี๋ยวเดียว แล้วก็หายกลับบ้านไป ผมแอบร้องไห้อยู่คนเดียวหลายวัน คิดว่าพ่อแม่ไม่รักผมถึงได้เอาผมมาปล่อยไว้แบบนี้ พ่อแม่ไม่สงสารผมเลยที่ผมต้องมาอยู่อย่างอับอายที่นี่ ผมคิดเคียดแค้นตามประสาเด็กว่า คอยดูเถอะ ถ้าเรียนจบออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ผมจะไม่ไปช่วยงานพ่อแม่เด็ดขาด …

Read more พ่อแม่ไม่รักผม

วันดีวันร้ายวันไหน ผมก็คือครู

วันดีวันร้ายวันไหน ผมก็คือครู

เพราะการสู้รบที่ชายแดนประเทศพม่าเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ผมต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่และหยุดงานสอนหนังสือ โรงเรียนเก่าของผมถูกยึดและแปลงสภาพไปเป็นที่พักทหาร นักเรียนเก่าของผมกระจัดกระจายกันไปในฝั่งไทยและฝั่งพม่า ตัวผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลลูกเล็ก ๆ ทั้งสามอยู่เงียบ ๆ เพื่อนหลายคนทะยอยโทรศัพท์มาหา ไถ่ถามว่าผมทำงานอะไรอยู่ เมื่อตอบไปว่าผมอยู่บ้านช่วยภรรยาเลี้ยงลูก …

Read more วันดีวันร้ายวันไหน ผมก็คือครู

สิบปีกับเงินหมื่น

สิบปีกับเงินหมื่น

“เป็นยังไงมั่งแล้วหือ ไอ้หลานชาย ที่นั่นเป็นยังไง เอ็งจะกลับมาถึงเมื่อไหร่ รู้มั้ยวันก่อนน้าสาวกับน้าเขยของเอ็งนั่งรถหนีน้ำกลับมาหมดไปคนละห้าพัน แล้วยังโชคร้ายถูกจับส่งตัวไปที่ฝั่งพม่า ถูกหน่วยรักษาชายแดน (กองกำลังดีเคบีเอเดิม) เรียกคนละสองพันห้า เท่านั้้นยังไม่พอ …

Read more สิบปีกับเงินหมื่น

ทางสายใหม่

ทางสายใหม่

แสงสว่างยามรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเสียงนกที่แว่วดังขึ้นเป็นจังหวะ เสียงไก่ที่กำลังขัน แสดงสัญญาณว่าเช้าวันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เด็กหนุ่มค่อยๆลืมเปลือกตาขึ้นสัมผัสกับแสงแดดที่ส่องเข้ามา พลางลุกจากที่นอนและเดินออกไปสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์  “ตื่นแล้วเหรอซอเล อรุณสวัสดิ์จ้ะ” เสียงแม่กล่าวทักทายยามเช้า  “ครับ เช้านี้อากาศดีจังเลยนะแม่” …

Read more ทางสายใหม่

หมู่บ้านไร้เสียง

หมู่บ้านไร้เสียง

รถแล่นอยู่บนถนนเส้นทางหนึ่ง มันเป็นถนนเปลี่ยว มีป่าไม้อยู่ตลอดข้างทางที่เอวาขับผ่านมา ไร้การสัญจรของรถคันอื่น มีเพียงแค่รถกระบะสีดำของเอวาเท่านั้นในตอนนี้ เธอขับออกจากสถานที่ที่ตั้งเต็นท์ก่อกองไฟรับลมหนาวมาได้ราวสองชั่วโมง เอวาเหลือบมองหน้าปัดรถ ไฟเตือนน้ำมันได้สว่างวาบ เข็มแสดงปริมาณน้ำมันชี้ไปที่เลขศูนย์ เอวาเลี้ยวเข้าข้างทาง …

Read more หมู่บ้านไร้เสียง

ส่งแรงใจให้แรงจิตมิตรภาพ

ส่งแรงใจให้แรงจิตมิตรภาพ

ส่งแรงใจให้แรงจิตมิตรภาพ โดย ร่มธรรม (นนทกานต์ เชี๊ยะสมาน)รางวัลบินข้ามลวดหนาม ประเภทงานเขียนเยาวชน เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร กิจกรรมประกวดงานเขียน …

Read more ส่งแรงใจให้แรงจิตมิตรภาพ

อาหารมื้อสุดท้ายจากไซ่ง่อนถึงเวียงจันทร์

อาหารมื้อสุดท้ายจากไซ่ง่อนถึงเวียงจันทร์

1. วิปโยค เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับ เหงียน ทิ เฟือง หญิงสาวชาวเวียดนามเมื่อ 40 ปีก่อน ขณะนั้น …

Read more อาหารมื้อสุดท้ายจากไซ่ง่อนถึงเวียงจันทร์

ลิปสติค

ลิปสติค

บทกวี ลิปสติค โดย ซามิยอ วาดลิปสติคแท่งใหม่บนริมฝีปากส่งยิ้มให้กำลังใจตัวเองในกระจกที่นี่เมืองใหญ่ฉันมองไปรอบ ๆแท่งตึกปูนไม่ใช่ภูเขาเสียงน้ำเจ้าพระยารินไหลเอื่อยช้า แต่ไม่ใช่ น้ำแม่เมย ฉันมาไกลถึงเมืองใหญ่เงียบว้างท่ามกลางความพลุกพล่านคิดถึงเพื่อนคนเดิมที่ข้ามน้ำมาด้วยกันเธอระหกระเหินกลับบ้านไปป่วยไข้รักษาตัวจนเงินหมดซัดเซพเนจรข้ามน้ำกลับไปอีกคนเพิ่งตกตึกตายไม่มีแม้งานศพคนหนึ่งและอีกหนึ่งไปสู่ความตายเหลือฉันหล่อเลี้ยงชีวิตท่ามกลางความดิ้นรน ฉันจะต่างกับเธออย่างไรหายใจแต่ไร้วิญญาณลิปสติคแท่งใหม่วาดริมฝีปากที่ไม่มีคำพูดฉันไม่รู้และไม่เข้าใจว่า …

Read more ลิปสติค

พี่สาวในค่ายบอกหนูว่า

พี่สาวในค่ายบอกหนูว่า

พี่สาวในค่ายบอกหนูว่าเราเพียงเปลี่ยนสถานที่เล่านิทาน โดย อรพรรณ ชอบศิลป์รางวัลดอ ธาน ธาน ประเภทงานเขียนบุคคลทั่วไป ลำดับที่ 1  เงินรางวัล …

Read more พี่สาวในค่ายบอกหนูว่า

WE ARE HUMAN, WHY NOT…?

WE ARE HUMAN, WHY NOT…?

“เห้ย”  “เห้ย มึงอะ !”  “เห้ย มึงอะไอ้ต่างด้าว !!”  เสียงตะโกนของชายแก่อ้วนท้วมดังเรียกใครบางคน ที่ถูกใช้สรรพนามแทนตัวว่าต่างด้าว  “คะ …

Read more WE ARE HUMAN, WHY NOT…?

การตอบแทน

การตอบแทน

เมื่อครั้งยังเล็กเราต่างมีความคิดฝันอย่างเด็ก ๆ หลายคนอยากเป็นครู เป็นหมอ แต่ผมกลับอยากเป็นทหารเพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัวที่ถูกทหารพม่าข่มเหงรังแกจนต้องพลัดพรากจากกัน ผมคิดเสมอว่าเมื่อโตขึ้นผมจะฆ่าคนชาติเดียวกับเขา ทำร้ายญาติพี่น้องคนในครอบครัวของเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำกับครอบครัวของผม ครั้งหนึ่งเมื่อผมอายุประมาณแปดขวบมีทหารพม่าเคลื่อนพลเข้ามาในหมู่บ้าน พ่อและพี่ชายคนโตของผมจำเป็นต้องหนีเอาตัวรอดจากการถูกเกณฑ์เป็นลูกหาบ ในบ้านจึงเหลือแต่แม่และพี่น้องที่ยังเล็ก …

Read more การตอบแทน

คนริมฝั่ง

คนริมฝั่ง

คนริมฝั่ง บทความเสียงชาวบ้าน โดย นอนอ เขียนไว้เมื่อปี 2554 ฉันเป็นคนหนึ่งที่เดินทางขึ้นล่องตลอดทั่วสองฝั่งน้ำสาละวินเสมอ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำมีน้อยคนนักที่รุ่นราวคราวเดียวกันแล้วจะไม่รู้จักฉัน ตั้งแต่จำความได้ พ่อพาฉันเดินทางโยกย้ายไปตามที่ต่าง …

Read more คนริมฝั่ง

ไม่เป็นไร

ไม่เป็นไร

ไม่เป็นไร  บทความเสียงชาวบ้าน โดย สุแมโกล เขียนไว้เมื่อปี 2554 แสงแดดที่ส่องมาเป็นสัญญาณบอกว่ารุ่งเช้าได้มาถึงแล้ว ทาเสอะยื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกแบบตะวันตก ในมือยังถือข่าวการเสียชีวิตของทหารกะเหรี่ยงที่ได้อุทิศตนสู้รบอยู่ในแนวหน้าค้างไว้แต่เนิ่นนานเท่าใดก็ไม่รู้ เรื่องราวในอดีตหวนกลับเข้ามาสู่ภวังค์ …

Read more ไม่เป็นไร

เพียงบัตรใบหนึ่ง

เพียงบัตรใบหนึ่ง

เพียงบัตรใบหนึ่ง บทความเสียงชาวบ้าน โดย นอ นอ เขียนไว้เมื่อปี 2554 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวแพร่สะพัดในชุมชนริมฝั่งสาละวินว่า ทางการไทยจะยึดบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนคืน …

Read more เพียงบัตรใบหนึ่ง