WE ARE HUMAN, WHY NOT…?

WE ARE HUMAN, WHY NOT…?

| | Share

“เห้ย” 

“เห้ย มึงอะ !” 

“เห้ย มึงอะไอ้ต่างด้าว !!” 

เสียงตะโกนของชายแก่อ้วนท้วมดังเรียกใครบางคน ที่ถูกใช้สรรพนามแทนตัวว่าต่างด้าว 

“คะ ครับ เถ้าแก่” คนถูกเรียกตอบอย่างลุกลี้ลุกลน 

“ไปขนของที่หลังกระบะแล้วเอามาเติมของพวกนี้ได้แล้วจะหมดอยู่แล้วโว้ย โง่จริง” 

“ครับผม ครับ” ชายหนุ่มผิวเข้ม ร่างทะมัดทะแมงตอบพร้อมกลับหันไปจับรถเข็นเพื่อเตรียมที่จะไปขนของ ตามที่นายจ้างของตนสั่ง 

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนพากันเดินจับจ่ายเลือกซื้อข้าวปลาอาหาร ประกอบกับเสียง โวกเวกโวยวาย ช่างเป็นบรรยากาศที่วุ่นวายสมกับเป็นตลาดสดเสียจริง ๆ ทุกอย่างช่างดูยุ่งเหยิงและชุลมุนไปหมดแม้กระทั่งตัวของชายหนุ่มเองที่มารับบทเป็นคนขนของ ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่ายังไงชายหนุ่มก็ยังรู้สึกไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้สักทีแม้ตัวเองจะทำงานที่นี่มาได้หลายเดือนแล้วก็ยังรู้สึกแปลก ๆ เวลาที่ต้องได้ยินกับคำพูดเหน็บแนมหรือด่าทอจากคนที่ผ่านไปผ่านมา และที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่เคยมีใครเรียกเขาด้วยชื่อที่แท้จริงของเขาเลย ไม่สิจะบอกว่าเรียกก็อาจจะยากไปหน่อยนะ เพราะแค่ถามถึงชื่อยังไม่มีเลยสักครั้ง จะไปคาดหวังให้เรียกชื่อจริงๆ ได้ยังไงล่ะ และอันที่จริงน่ะทุกคนมักเรียกเขาว่า “ไอ้ต่างด้าว” ต่างหากล่ะ แต่เอาเถอะเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังให้ใครจดจำชื่ออยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการหาเงินเลี้ยงปากท้องไปวันต่อวัน มื้อต่อมื้อเก็บเงินได้สักก้อนก็เพียงพอ 

“นี่เฮีย ลูกน้องเฮียคนที่ไหนเนี่ย คนไทยรึป่าว?” เสียงแหลมกระด้างของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นอย่าง เกรี้ยวกราด พลางชี้นิ้วไปหาชายหนุ่มที่บัดนี้กำลังเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยปลาตะกร้าใหญ่กลับมา ดึงดูดให้คนที่ผ่านไปผ่านมาต้องหยุดชะงัดฝีเท้าลง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายแก่ร่างอ้วนท้วมสลับกับร่างของชายหนุ่มที่แสนจะมอมแมม พลางทำท่าครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา  

“คนไทยเนี่ยแหละ จะให้คนที่ไหนล่ะ โถ่” 

“แต่เมื่อกี้ชั้นได้ยินเฮียเรียกมันว่าไอ้ต่างด้าวนะ จะว่าหูชั้นฝาดเหรอไงกัน”

“เอ้อ พม่าโว้ย แต่มันทำงานกับชั้นมาหลายเดือนแล้วไม่มีอะไรหรอก” 

“จะไม่มีอะไรได้ไง เฮียไม่เห็นข่าวเหรอ เขาประกาศกันโครมๆๆ ว่าไอ้ต่างด้าวพวกนี้เอาเชื้อโควิดเข้ามาน่ะ!”  หญิงวัยกลางคนยังคงพูดต่อด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังชายหนุ่มประดุจว่าเป็นตัวเชื้อโรคที่กำลังแพร่เชื้ออยู่  

“แต่ไอ้นี่มันไม่ได้เป็นโควิดซะหน่อย อย่ากล่าวหากันสิ!” ชายแก่ร่างอ้วนท้วมตอบด้วยท่าทางหัวเสีย 

“นี่เฮียเอาไอ้พวกต่างด้าวนี่มาขายของได้ยังไง ยังไงชั้นก็ไม่ซื้อหรอกนะ สกปรก จะติดโรคโควิดบ้านั่นด้วยหรือเปล่าเนี่ยไม่เอาแล้วนะปลาที่สั่งน่ะ ยกเลิก”  

หล่อนพูดพลางฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ไปทั่วมือลามไปยันถุงอาหารนานาที่ถืออยู่เต็มไม้เต็มมือ ท่ามกลางผู้คนที่ยืนดูด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นจึงหันหลังเดินไปอย่างรีบ ๆ คล้ายกับว่าเชื้อโรคกำลังวิ่งตามหล่อนไปซะอย่างนั้น 

“เอ้า! มองอะไรกัน ไอ้นี่มันต่างด้าวก็จริง แต่มันไม่ได้เป็นโควิดนะเว้ย จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว” ชายแก่ร่างอ้วนท้วมพูดด้วยเสียงดังเข้ม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเหล่านั้นหันมาซื้อปลาเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกันต่างคนต่างพากันยื่นถุงปลาคืนแก่ร้านพร้อมกับคำพูดแย่ๆ และสายตาที่แสดงถึงความกลัวและขยะแขยง ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งหน้าซืดเผือก เขาเหงื่อแตกซกไปทั้งตัว เขาไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองคืออะไร เพราะเขาเป็นพม่ายังงั้นเหรอ หรือเพราะเขาเป็นคนต่างด้าว มันสมเหตุสมผลแล้วจริง ๆ ใช่ไหมกับเหตุการณ์ในครั้งนี้  

“ไป ไป มึงกลับไปรอที่บ้านก่อนไป วันนี้ถ้าอยู่ต่อร้านกูคงเจ๊งแน่” ชายแก่ร่างท้วมพูดขึ้นพลางเลิกคิ้วไปด้วย 

“ครับ เถ้าแก่ ขอโทษครับ”  

ชายหนุ่มได้แต่รับปากและรีบเดินออกมาจากตรงนั้นให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้ำตาของเขาค่อย ๆ  ไหลรินอาบสองแก้มซ้ายขวา เป็นความเจ็บปวดจากการดูถูกที่โคตรรู้สึกแย่ ทำไมคนเราถึงดูถูกกันได้ขนาดนี้นะ เขาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันนี่นา คำว่า “เพื่อนมนุษย์” ที่จริงแล้วมันเป็นแค่คำที่เพ้อฝันรึป่าวนะ… 

18:43 น. 

“พรุ่งนี้มึงไม่ต้องไปขายปลาที่ตลาดแล้วล่ะ” 

“ถะ…เถ้าแก่จะไล่ผมออกเหรอครับ ตะ…แต่ว่าผมไม่มีที่ไปแล้ว” 

“แล้วมึงจะอยู่ทำร้านกูเจ๊งเหรอไง ?”

“ผมขอโทษครับ พอมีงานอะไรให้ผมทำได้บ้างไหมครับเถ้าแก่ ขอร้องล่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสายตา มุ่งมั่น แม้เขาจะเตรียมใจมาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อบ่าย แต่ก็ไม่วายสะเทือนใจอยู่ดี  

“เออ ที่จริงมันก็พอมีอยู่แต่มันอันตราย ถ้ามีการสุ่มตรวจจากตำรวจ มึงมาแบบผิดกฎหมายยังไงก็ต้องซ่อนตัว” ชายแก่พูดขึ้นพลางทำท่าครุ่นคิด เหมือนกำลังหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า 

“ได้ ได้ครับ ผมจะทำว่าแต่งานอะไรเหรอครับเถ้าแก่” ชายหนุ่มรีบตอบเพราะถ้าโดนไล่อออกตอนนี้ก็ไม่มี แม้แต่ที่ซุกหัวนอนที่สำคัญคือ เขากลับบ้านก็ไม่ได้แล้ว

“ดูแลนักท่องเที่ยวทริปเกาะหัวใจมรกตที่ฝั่งพม่าน่ะ มึงก็แค่คอยเสิร์ฟอาหารนั่นนี่ดูแลคน ขนของสัพเพเหระ ถ้าจะทำก็ไปเตรียมตัวซะ พรุ่งนี้เราจะออกกันแต่เช้า”  

“ครับผม ได้ครับ” ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง เขาดีใจกับงานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจาก นี้มันช่างไม่ต่างจากการไปเยี่ยมบ้านเกิดเลย แม้จะไม่ใช่ผืนดินบ้านเกิด แต่การได้กลับไปผืนน้ำของบ้าน เกิดตัวเองก็ทำให้ตัวเขานั้นรู้สึกกระชุ่มกระชวยจิตใจอยู่ไม่น้อย จนลืมคิดถึงเรื่องอันตรายที่เถ้าแก่ของเขาได้ เตือนเอาไว้อย่างสิ้นเชิง… 

3 สัปดาห์ต่อมา 

หลังจากที่ชายหนุ่มได้ย้ายงานมาเป็นคนดูแลเรือทริปเกาะหัวใจมรกตแล้ว ทุกอย่างผ่านไป ค่อนข้างราบรื่นเพราะความสนใจส่วนใหญ่ของเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวนั้นถูกเบนไปกับทริปดำน้ำดูปลา  ดูปะการัง ทำให้ชายหนุ่มทำงานได้ง่ายขึ้น จะมีบ้างบางครั้งที่ต้องพูดสื่อสารแล้วสำเนียงแปลกจนเป็นที่ผิดสังเกตจนทำให้ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามบ้าง สงสารบ้าง รังเกียจบ้างสลับกันไป  

แต่แล้วเรื่องอันตรายที่เถ้าแก่เคยเตือนไว้ก็เกิดขึ้น วันที่ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น วันนี้ทุกอย่างเริ่มต้น และดำเนินไปดั่งปกติชายหนุ่มตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานกับเถ้าแก่เหมือนเช่นเคย ทว่าหลังจากที่พา นักท่องเที่ยวดำน้ำเข้าไปในเกาะหัวใจมรกตนั้น อยู่ ๆ ก็มีวิทยุสื่อสารแจ้งมาว่าตำรวจน้ำจะเข้ามาตรวจสอบ  เพราะได้รับแจ้งข่าวว่ามีการลักลอบจ้างงานแรงงานผิดกฎหมายเข้ามา และตำรวจต้องการให้ทุกคนรีบว่าย น้ำกลับมาขึ้นเรือเพื่อตรวจสอบ 

“มึง รออยู่นี่ก่อน อย่าเพิ่งออกมา” เถ้าแก่หันไปบอกกับชายหนุ่มที่ว่ายน้ำอยู่ข้าง ๆ 

“แล้วใครจะเป็นคนพานักท่องเที่ยวกลับไปขึ้นเรือล่ะครับ อีกอย่างเดี๋ยวน้ำก็จะขึ้นแล้วนะครับเถ้าแก่” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขารู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือว่านี่เถ้าแก่กำลังจะทิ้งเขา 

“เออก็ตำรวจมาจะให้กูทำยังไง เดี๋ยวกูพานักท่องเที่ยวพวกนี้ไปขึ้นเรือเอง ส่วนมึงรออยู่ที่นี่แหละ” เขาตอบปัดรำคาญ 

“แต่ว่าเถ้าแก่…” ชายหนุ่มอ้าปากพูดไม่ทันขาดคำก็โดนสวนกลับด้วยคำพูดของคนที่ตนเรียกว่าเถ้าแก่ 

“มึงจะกลัวอะไร เดี๋ยวมึงก็ว่ายตามเชือกออกมาสิวะ แค่รออีกครึ่งชั่วโมงให้ตำรวจไปก่อนมันจะตายหรือ ยังไง” เขาพูดด้วยท่าทีหงุดหงิดปนโมโห พลางชูเชือกที่อยู่ในมือขึ้นมาชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าเบา ๆ  เป็นการบอกว่ารับทราบ เขามองตามหลังของเถ้าแก่ที่ค่อย ๆ ว่ายพานักท่องเที่ยวออกไปทีละคน สองคน  สามคน สี่คน และต่อไปเรื่อย ๆ จนเหลือแต่เขาเพียงผู้เดียวท่ามกลางเกาะหัวใจมรกต เกาะนี้เป็นเกาะ รูปทรงหัวใจ ที่มีผืนน้ำเป็นสีเขียวมรกตระยิบระยับ เพราะแบบนี้สินะถึงได้ชื่อว่าเกาะหัวใจมรกต ที่แปลกคือ เกาะแห่งนี้ไม่มีแม้แต่พื้นทรายเพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดเรื่องที่จะไปหลบบนบกเลยเพราะไม่มีแม้แต่ทรายสัก เม็ดเดียวให้เหยียบ แต่ที่แปลกกว่าคือชายหนุ่มนั้นเป็นผู้ดูแลทริปดำน้ำแท้ ๆ แต่กลับไม่มีแม้แต่เสื้อชูชีพไว้ใส่ 

“เอาวะ อดทนไปสักครึ่งชั่วโมงมันจะเป็นอะไรไป” ชายหนุ่มคิดปลอบใจตัวเอง  

ทว่าเวลาแต่ละวินาทีช่างยาวนานเหลือเกิน แม้ร่างกายของชายหนุ่มจะเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อย ๆ แต่มือของเค้ายังคงจับเชือกนำทางเอาไว้อย่างแนบแน่ พร้อมกับขาที่ตีน้ำเพื่อประคองตัวเองให้ลอยตัวเริ่มแผ่วลง  เมื่อกะเวลาว่าคงจะครบครึ่งชั่วโมงตามที่คุยกันแล้ว ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ว่ายตามเชือกไป แต่ช่างโชคร้ายที่เมื่อว่ายไปยันไม่ทันไรเชือกที่เค้าว่ายตามมาก็หมดลงเกิดอะไรขึ้นกันนี่เขาโดนเถ้าแก่หลอกสินะหลอกว่าจะรอ หลอกว่าให้ว่ายตามเชือกมา แต่อันที่จริงตัวเองตัดเชือกไปซะตั้งแต่แรกแล้ว  

ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาคงไม่สามารถว่ายต่อไปได้อีกแล้ว เขาไม่มีแม้แต่เชือกนำทาง ไม่มีแม้แต่เสื้อชูชีพสักตัว อีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของกระแสน้ำที่เริ่มลดต่ำลงเรื่อย ๆ มันช่างเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจเสียเหลือเกิน แต่ก็สู้กับสิ่งที่เขาโดนหักหลังในตอนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่คนเหรอไงกัน ทำไมทุกคนปฏิบัติกับเขาเหมือนเขาเป็นตัวน่ารังเกียจ เป็นตัวเชื้อโรคซะอย่างนั้น เงินทุกบาททุกสตางค์เขาก็หามาด้วย งานที่สุจริตไม่ได้ไปขอหรือคดโกงใคร ก็จริงที่ว่าเขาอาจไม่ได้เข้ามาโดยถูกกฎหมาย แต่สถานการณ์ในตอนนั้นเขาไม่สามารถอยู่ที่บ้านเกิดต่อได้แล้ว ไม่มีทางที่จะให้เขาแก้ไขในเรื่องที่เคยผิดพลาดไปเลยหรือ  น้ำตาของชายหนุ่มรินไหลออกมาอีกครั้ง เขามองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามตัดสลับกับท้องน้ำทะเลสีเขียวมรกต ตอนนี้น้ำค่อย ๆ ขึ้นสูงจนปากถ้ำปิดไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สามารถออกไปได้แล้วเช่นกัน

ชายหนุ่มรู้ตัวแล้วว่าชีวิตตัวเองคงจะจบลงที่นี่เป็นแน่ และเขากำลังจะได้กลับไปหาพ่อและแม่ในดินแดนที่ไกลแสนไกล เขาค่อย ๆ ปล่อยให้ร่างของตัวเองที่ตอนนี้อ่อนล้าไม่เหลือแม้แต่แรงจมดิ่งลงสู่ก้น ทะเลลึกอย่างช้า ๆ ไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่กำลังจะสูญสิ้น…

แม้จะจากบ้านมาไกล ต้องทนกับคำดูถูกดูแคลน อยู่โดยไม่มีชื่อเรียก แต่มีสรรพนามปะติดอยู่บนหน้าว่าไอ้ต่างด้าว ฮ่าฮ่า น่าขำสิ้นดี คนทำมาหากินเหมือนกันแท้ ๆ แต่ดันมีชนชั้นซะอย่างนั้น เอาเถอะคง เพราะพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าเพราะอะไรผมถึงต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนมาที่นี่ แม้จะโดนคำดูถูกแต่ก็ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าผมเจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้นเพียงไร ใครกันเล่าที่อยากจะโดนเหยียดหยามแบบนั้น แต่เพราะผมไม่เหลืออะไรเลย ผมไม่เหลือแม้แต่ครอบครัวที่ผมรัก ผมสูญสิ้นทุกอย่าง แต่ผมยังมีชีวิต และในเมื่อผมยังมีชีวิตผมก็ต้องดิ้นรนน่ะสิ ถ้าผมไม่มาผมก็ตาย ต่อให้ทุกวันจะเหมือนตายทั้งเป็นแต่ผมก็ไม่อยากยอมแพ้หรอกนะ ผมไม่ชอบการเป็นไอ้ขี้แพ้  

ชั่วขณะหนึ่ง ภาพที่เขากำลังยืนคุยกับเพื่อนรักค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ช่วงเวลาที่ ชี้เป็นชี้ตายในชีวิตเขามันเริ่มต้นจากตรงนี้สินะ… 

“แม่ง กูอยู่ไม่ได้แล้วว่ะ” 

“มึงอยู่ไม่ได้ แล้วมึงจะไปอยู่ไหนวะ?” 

“คืนนี้กูจะข้ามไปไทย ไปตายเอาดาบหน้า มึงไปกับกูไหม?” 

“เชี่ย มึงจะไปยังไงของมึง ตอนนี้ฝั่งนู้นแม่งก็ปิดประเทศไปละนะ” 

“เออก็หนีไปแม่งแบบนี้แหละวะ กูได้ข่าวมาว่าคืนนี้จะมีการโจมตีกันระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มกอซูแล ถ้าพวกเราไปอีกเส้นทางก็น่าจะหลบเลี่ยงสายตาพวกทหารนั่นได้อยู่” 

“แต่ว่าพ่อกับแม่กูล่ะ พวกเขาเดินทางไม่ไหวแล้ว…” 

“ก็จริงของมึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมึงก็ลองตัดสินใจดูละกัน ถ้ามึงจะไปกับกูก็เจอกันที่เดิม กูจะรอมึงจนถึงเที่ยงคืน ถ้ามึงไม่มาก็ถือซะว่าเราไม่เคยคุยเรื่องนี้กัน” 

“อื้มม…”

ระหว่างทางที่ชายหนุ่มกำลังกลับบ้านหลังจากที่ได้แยกย้ายกับเพื่อนไปเมื่อครู่ เขม่าควันที่ลอยฟุ้ง อยู่ท่ามกลางอากาศก็แตะลงบนใบหน้าของเขา ทำให้สติที่หลุดลอยไปกลับคืนมา ประกอบกับอากาศที่มี กลิ่นแปลก ๆ ไม่บริสุทธิ์เหมือนดั่งเคยแม้อยู่ท่ามกลางป่าไม้เช่นนี้ ทำให้เค้าต้องเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่แตะอยู่บนใบหน้าเขา ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นจากผืนดินกลับเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากทางหมู่บ้านคินมา นี่คงไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแล้ว ไม่สิเหตุการณ์มันไม่ปกติตั้งแต่มีรัฐประหารบ้าบอนี่เกิดขึ้นแล้วตังหาก และตอนนี้กองไฟกองใหญ่ก็กำลังแผดเผาหมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิดของเขา กองไฟที่กำลังมอดไหม้ทุกสิ่งให้ดับสิ้นไป ชายหนุ่มได้แต่วิ่ง วิ่ง และวิ่งให้ไวที่สุดเพื่อไปให้ถึงบ้านของเขา แม้ทางที่วิ่งจะต้องสวนกับผู้คนในหมู่บ้านที่พยายามหนีตายออกมากันอย่างลนลาน บ้างก็ร้องขอความช่วยเหลือ บ้างก็ตะโกนห้ามไม่ให้เข้าไป แต่เสียงเหล่านั้นกับทำอะไรชายหนุ่มไม่ได้แม้แต่น้อย เขายังคงวิ่งต่อไปเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อและ แม่ ยังไงเสียถ้าทุกคนหนีตายกันขนาดนี้ คงไม่มีใครมาช่วยท่านทั้งสองตอนที่เขาไม่อยู่ดูแลเป็นแน่… 

แต่ทว่าเวลาที่คนเราดวงตก มันก็จะตกจนชิบหายวายวอด ภาพตรงหน้าที่เห็นคือร่างของพ่อและ แม่ที่หมดไปแล้วซึ่งสติกำลังโดนไฟลุกไหม้อยู่ท่วมร่างทั้งสอง ร่างกายที่ตอนนี้พลันหมดแรงไปพร้อมกับ หัวใจที่แหลกสลายเป็นเหตุให้ชายหนุ่มนั้นไม่สามารถทรงตัวอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว เขาทรุดลงกับพื้นน้ำตาที่เคยกลัดกลั้นเอาไว้บัดนี้ไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว เขาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ตอนนี้เขาได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไปแล้ว เสียสิ้นพ่อแม่ที่เป็นเสมือนหัวใจ 

และโลกยังคงใจร้ายต่อไป…เพราะต่อให้เสียไปแล้วซึ่งความหวังที่จะอยู่ต่อแต่ลมหายใจของเขาก็ไม่ดับสูญไป ทั้งที่บางทีก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเหตุผลอันใด  

ชายหนุ่มปาดน้ำตาแล้วจึงก้มกราบร่างของพ่อและแม่เพื่อเป็นการลาครั้งสุดท้าย ทั้งสองท่านจะถูกจดจำในใจของชายหนุ่มตลอดไป จากนั้นจึงหันหลังกลับไปเพื่อเตรียมที่จะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป… 

นี่สินะคือเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มลักลอกข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย เพราะไม่เหลืออะไรแล้ว  ไม่เหลือแล้วจริง ๆ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกินเวลาที่เราสูญเสียคนที่สำคัญในชีวิต แต่ว่าก็ยังต้องสู้ต่อไป 

ทว่าตอนนี้ผมคงต้องพักแล้วล่ะ…ผมปล่อยให้ร่างกายค่อย ๆ จมดิ่งลงอย่างช้า ๆ มันช่างอึดอัดและ ทุรนทุรายเมื่อเราสำลักน้ำและหายใจไม่ออก แต่สุดท้ายก็รู้สึกสงบลงเมื่อผมลืมตาขึ้นแล้วได้เห็นปะการังที่อยู่เบื้องล่างพลิ้วไหวไปมาตามกระแสน้ำอ่อน ๆ สีเขียวมรกตใส น่าประหลาดที่มีฝูงปลามาเวียนไหว้อยู่รอบตัวผมช่างงดงามยิ่งนัก 

“ขอบคุณนะที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนลมหายใจสุดท้าย” ความสุขแรกและสุดท้ายในชีวิตของผมคงจะเป็นการได้กลับมาตายที่บ้านเกิดสินะ กลับมาที่นี่เกาะหัวใจมรกต ช่างสงบเหลือเกิน บ้านอันเป็นที่รักของผม

———————————————

WE ARE HUMAN, WHY NOT…? โดย JudyHoney 
รางวัลบินข้ามลวดหนาม ประเภทงานเขียนบุคคลทั่วไป เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร

กิจกรรมประกวดงานเขียน ภาพถ่าย ภาพวาด ว่าด้วยผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติ ภายใต้หัวข้อ “เพื่อนไร้พรมแดน” เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ Project for the Agents of Changes (PAC) มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน  ร่วมด้วย Realframe และสำนักข่าวชายขอบ สนับสนุนโดย the Norwegian Human Rights Fund (NHRF)

รางวัล “บินข้ามลวดหนาม” เป็นรางวัลที่เราเคยมอบในการประกวดภาพยนตร์ในเทศกาลศิลปวัฒนธรรม “บินข้ามลวดหนาม” ซึ่งว่างเว้นการจัดมาระยะหนึ่ง คำว่า “บินข้ามลวดหนาม” เป็นชื่อบทเพลงซึ่งเล่าถึงผู้ลี้ภัยที่คิดฝันอยากเป็นนกที่จะบินข้ามรั้วลวดหนามของค่ายผู้ลี้ภัยออกไปสู่เสรี  รางวัลนี้จึงมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนทำงานศิลปะหลากสาขา ที่ประสงค์จะมาร่วมกันบินข้ามรั้วกีดกั้นมิตรภาพระหว่างมนุษย์ออกไปให้ได้ 

คณะกรรมการคัดเลือกงานเขียน
ภาสกร จำลองราช บรรณาธิการสำนักข่าวชายขอบ
พรสุข เกิดสว่าง อดีตบรรณาธิการนิตยสารเพื่อนไร้พรมแดน
นาน จี เอ กวีสมัครเล่น อดีตผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศนอร์เวย์
วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนอิสระ  คนไกลบ้าน
ชมัยภร แสงกระจ่าง นักเขียนและนักวิจารณ์อิสระ

Related