เมื่อครั้งยังเล็กเราต่างมีความคิดฝันอย่างเด็ก ๆ หลายคนอยากเป็นครู เป็นหมอ แต่ผมกลับอยากเป็นทหารเพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัวที่ถูกทหารพม่าข่มเหงรังแกจนต้องพลัดพรากจากกัน ผมคิดเสมอว่าเมื่อโตขึ้นผมจะฆ่าคนชาติเดียวกับเขา ทำร้ายญาติพี่น้องคนในครอบครัวของเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำกับครอบครัวของผม
ครั้งหนึ่งเมื่อผมอายุประมาณแปดขวบมีทหารพม่าเคลื่อนพลเข้ามาในหมู่บ้าน พ่อและพี่ชายคนโตของผมจำเป็นต้องหนีเอาตัวรอดจากการถูกเกณฑ์เป็นลูกหาบ ในบ้านจึงเหลือแต่แม่และพี่น้องที่ยังเล็ก เมื่อพวกทหารเข้ามาในหมู่บ้านแล้วไม่พบผู้ชายวัยทำงานจึงบังคับให้ผู้หญิงที่สามีหนีออกจากหมู่บ้านไปเป็นลูกหาบแบกของให้แทนหากใครไม่ยอมก็ทำร้ายทุบตี ในหมู่คนที่ต้องไปเป็นลูกหาบนั้นมีแม่ของผมรวมอยู่ด้วย ก่อนที่จะไปทหารบอกกับพวกเราว่าจะให้แม่แบกของไปให้จนถึงหมู่บ้านถัดไปแล้วจะปล่อยกลับบ้าน แต่พอครบเวลากำหนดแม่ก็ยังไม่กลับ น้องเล็กของผมร้องไห้ไม่ยอมหยุดผมไม่รู้จะปลอบยังไงในที่สุดผมก็ต้องร้องไห้ตามไปด้วย ยายของผมจึงขอให้น้าสาวไปเปลี่ยนตัวกับแม่ทหารจึงปล่อยตัวแม่ของผมกลับมา แม่กลับมาพร้อมกับนมที่ได้เป็นสิ่งตอบแทนจากทหาร ถึงแม้ผมอยากจะกินมันมากแค่ไหนแต่ผมก็ไม่แตะต้องมันแม้แต่น้อย
ไม่นานนักทหารพม่าชุดใหม่ก็เข้ามาในหมู่บ้านคราวนี้พวกเขาสั่งให้คนในหมู่บ้านเก็บข้าวของย้ายไปยังสถานที่ที่ทหารกำหนดไว้ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาจดชื่อชาวบ้านไว้ทั้งหมดแล้วขู่ว่าคนที่คิดหนีจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก รุ่งขึ้นแม่จัดข้าวของใส่ผ้าห่อน้อยแล้วยื่นแม่ไก่ตัวหนึ่งให้ผมอุ้มไป ขณะนั้นมีผู้บังคับบัญชาการทหารคนหนึ่งเดินผ่านมาเมื่อเขาเห็นแม่ไก่ที่ผมอุ้มอยู่เขาก็แย่งไปจากมือของผมทันทีแล้วบอกว่า “ห้ามเอาไก่ไปด้วย” เสร็จแล้วเขาก็นำไก่นั่นไปฆ่ากิน ส่วนสร้อยเงินที่แม่ผมสวมอยู่ที่คอก็ถูกถอดออกแล้วยื่นสร้อยเก่า ๆ คืนให้ เวลานั้นผมคิดอยู่ในใจว่า “สักวันหนึ่งสิ่งที่พวกแกทำทั้งหมดจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสม”
เราเดินทางมาได้ประมาณครึ่งวันทหารจึงให้หยุดพักพร้อมกับตรวจนับจำนวนคนเพื่อดูว่ามีคนหลบหนีหรือไม่ แม่กระซิบกับผมว่าหากเราไปอยู่ในสถานที่ที่ทหารเตรียมไว้เราจะไม่ได้พบหน้าพ่ออีก เมื่อเริ่มต้นเดินทางอีกครั้งครอบครัวของเราจึงเดินรั้งท้ายแม่อาศัยจังหวะที่ผู้บังคับบัญชาทหารเผลอเข้าไปพูดกับนายทหารที่คุมท้ายแถวแล้วยื่นเงินให้จำนวนหนึ่ง ครอบครัวของเราจึงเล็ดลอดออกมาได้
พวกเราหนีไปซ่อนตัวอยู่ในวัดซึ่งถือว่าเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานั้น นานวันเข้าแม่ก็บอกผมว่าเราคงกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านเดิมไม่ได้และจะอยู่ที่วัดนี้ตลอดไปก็จะเป็นภาระให้ทางวัด ครอบครัวของเราจึงเดินทางไปอยู่ยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเมย แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็ซ่อนตัวจากอิทธิพลของทหารพม่าไม่ได้ เมื่อได้ข่าวว่าทหารพม่าเข้ามาใกล้เราก็ต้องข้ามแม่น้ำมาหลบยังฝั่งไทยแต่พอเจ้าหน้าที่ไทยรู้ก็ผลักดันเรากลับไปยังฝั่งพม่า ครอบครัวของเราใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้หลายปีในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจว่าจะเข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยฝั่งประเทศไทยและที่นี่เองที่ทำให้ผม แม่ และน้อง ๆ ได้พบกับพ่อและพี่ชายคนโตที่พลัดพรากกัน
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ตั้งใจว่าโตขึ้นจะเป็นทหารเพื่อแก้แค้นในสิ่งที่ทหารพม่ากระทำกับครอบครัวของเรา ในที่สุดผมก็เรียนจบและได้เป็นเป็นทหารอย่างที่หวัง แต่ระยะเวลาที่ได้ประจำการเพียง 1 เดือนก็ทำให้ผมได้เห็นถึงความทุกข์ยากของคนปกาเกอะญอที่ต้องรับผลกระทบจากสงคราม หลายครอบครัวต้องแตกแยกเหมือนกับผมตอนเด็ก ๆ ผมจึงตระหนักได้ว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาแต่ความรู้ต่างหากที่เป็นอาวุธอันทรงอานุภาพที่จะสามารถขจัดความรุนแรงทั้งหมดลงได้ หลังจากหนึ่งเดือนนั้นผมจึงเปลี่ยนแผนการในชีวิตมาเป็นครู
บ่อยครั้งที่ความแค้นในอดีตย้อนมาทำร้ายจิตใจของผมแต่ในวันนี้สิ่งเหล่านั้นถูกลบเลือนไปเมื่อลูกศิษย์ที่ผมเคยสอนได้เป็นครูและสอนเด็ก ๆ อย่างที่ผมเคยสอนเขา แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้เป็นครูแล้วแต่ผมเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ความรู้ที่ผมได้หว่านเอาไว้จะเป็นอาวุธให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่เลวร้ายของเผด็จการทหารในสักวัน
การตอบแทน บทความเสียงชาวบ้าน โดย หลิกรอกระ เขียนไว้เมื่อปี 2553
ภาพประกอบจากเพื่อนไร้พรมแดน
เสียงชาวบ้าน คือกลุ่มนักเขียนอิสระที่เป็นผู้ลี้ภัยและชนเผ่าพื้นเมืองชาวปกาเกอะญอ พวกเขาตั้งใจถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อประเพณี และเรื่องราวอีกมากมายผ่านบทความ บทกวี และภาพถ่าย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม