วันที่อนาคตที่กำลังเบ่งบานของฉันจบสิ้นลง<br>เรื่องเล่าของหญิงสาวกะเรนนี

วันที่อนาคตที่กำลังเบ่งบานของฉันจบสิ้นลง
เรื่องเล่าของหญิงสาวกะเรนนี

| | Share

วันที่อนาคตที่กำลังเบ่งบานของฉันจบสิ้นลง
เรื่องเล่าของหญิงสาวกะเรนนี

ฉันเกิดในเมืองลอยก่อ รัฐกะเรนนี ตัวฉันไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับสงครามมาก่อน  แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของฉันรู้จักสงครามดี พวกเขาทุกคนเคยหนีกันมาแล้วทั้งนั้น  ตอนเล็ก ๆ ฉันเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่เคยเรียนภาษาหรือรู้เรื่องราวของคนกะเรนนี  พ่อแม่ส่งให้ฉันเข้าโรงเรียนประจำ อยู่กินนอนในหอพัก มันเป็นโรงเรียนพม่าที่จัดไว้สำหรับเด็ก ๆ ชาติพันธุ์โดยเฉพาะ เด็กที่อยู่ที่นั่นจะปลอดภัย และเราแทบไม่ต้องเสียเงินอะไร

แต่พอฉันเริ่มโต อายุได้ 12 ปี พ่อก็เรียกฉันไปคุยแล้วถามว่า ลูกอยากเป็นคนมีการศึกษาที่จะสามารถทำงานเพื่อพี่น้องกะเรนนีเราหรือไม่ ลูกอยากจะโตขึ้นแล้วเป็นประโยชน์แก่รัฐกะเรนนีของเราหรือไม่  ฉันตอบว่าฉันอยาก  และพ่อก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะต้องไปเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัย ที่นั่น ลูกจะได้เรียนรู้ความเป็นคนกะเรนนี การใช้ชีวิตในเมืองลอยก่อจะไม่สามารถทำให้ลูกมีความรู้และพัฒนาตัวเองได้ 

ตอนนั้นฉันยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรมาก แต่ฉันก็ตกลงที่จะไปอยู่กับญาติและเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัย แม้ว่าจะคิดถึงบ้านมากก็ตาม ฉันเติบโตต่อมาในค่ายผู้ลี้ภัย แล้วจึงได้รู้ว่า หลายสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติต่อเราในโรงเรียนพม่านั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และไม่ควรจะทำ อันที่จริงแล้ว เด็ก ๆ รุ่นฉันในเมืองกะเรนนีต่าง ๆ แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในผืนป่า ไม่รู้เลยว่าบนชายแดนไทยมีค่ายผู้ลี้ภัยกะเรนนีที่ถึงวันนี้แม้คนไปต่างประเทศมากแล้วก็ยังเหลืออยู่เป็นหมื่น พวกเขาไม่รู้อะไรเลย

ขณะที่ฉันโตขึ้น สถานการณ์ในประเทศพม่าดูจะคลี่คลายขึ้นเหมือนกัน สันติภาพเป็นสิ่งที่เราพอจะหวังได้  ฉันเรียนจบและทำงานเป็นครู ขณะที่ก็หาโอกาสการเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมหรือฝึกงาน จนกระทั่งได้มาสมัครสอบรับทุนการศึกษาได้ไปเรียนสังคมศาสตร์ ในวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในบังคลาเทศ  ฉันวาดฝันไว้มากมายว่าเมื่อเรียนจบ ฉันจะกลับบ้านไปอยู่ในลอยก่อ และจะทำงานด้านพัฒนาเพื่อคนกะเรนนี นำพาพวกเราให้หลุดพ้นออกจากการถูกกดขี่ข่มเหง สงคราม และการลี้ภัย เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนที่ออกจากบ้านครั้งแรก 

ในที่สุดฉันก็เรียนหนังสือจบ แต่ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่โควิดกำลังระบาดอยู่พอดี  เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินย่างกุ้ง  ฉันจึงต้องเข้าไปอยู่ในศูนย์กักตัวที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง  ที่นั่นมีคนที่มาจากหลากหลายประเทศ กินอยู่กันบนตึกแต่ละห้องแต่ละชั้น  มหาวิทยาลัยและโรงเรียนในพม่าปิดมานานแล้วตั้งแต่ปี 2020 แต่ละแห่งกลายเป็นศูนย์กักตัวของคนที่เฝ้าระวังบ้าง หรือติดโควิดบ้างแทน

ฉันอยู่ที่นั่นได้เพียงสองวัน  พอถึงวันที่สาม สิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้น โทรศัพท์ของฉันโทรออกไม่ได้ และเราไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้  คนที่อยู่ข้าง ๆ ฉันก็บอกอย่างนั้น เราถามไถ่กันไปมาว่าเกิดอะไรขึ้น โทรศัพท์ของเธอเป็นเหมือนกันไหม แล้วก็มีคนหนึ่งบอกว่า เขาได้ยินว่า มินอ่องหล่ายยึดอำนาจแล้ว 

“บ้าน่ะ” ฉันจำได้ว่าพูดไปอย่างนั้น มันเป็นเรื่องตลกเหลวไหลเกินกว่าจะเชื่อเขา แต่อีกชั่วโมงกว่า ๆ ต่อมา ก็เริ่มมีคนมาตะโกนอยู่ข้างนอกเขตกักตัวเพื่อบอกให้พวกเรารู้ว่า ว่ามินอ่องหล่ายยึดอำนาจแล้ว พวกเรามองหน้ากัน   มีแต่คนงง ไม่อยากเชื่อ ตกใจ กลัว โกรธ แต่มันดูเหมือนจะเป็นความจริงขึ้นทุกที  จนตกกลางคืน เราก็ได้ไปเจอกับคนในศูนย์กักตัวที่พักอยู่อีกชั้นคนหนึ่ง เขามีซิมประเภท Sim 2 Fly ของ AIS เมืองไทยที่ใช้ติดตัวเวลาบิน จึงไม่ต้องพึ่งอินเตอร์เน็ตพม่า เขาตรวจสอบข่าวสารต่าง ๆ และอ่านให้พวกเราฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนมารุมล้อมเขามากมาย 

เท่าที่จำได้ ฉันไม่เห็นใครที่พักอยู่บนชั้นเดียวกับฉันจะชอบอกชอบใจกับการยึดอำนาจของทหาร เรามีแต่ความกังวล บางคนก็เป็นห่วงคนทางบ้าน บางคนก็อยากออกไปประท้วง แต่เราออกไปไม่ได้  ในวันต่อ ๆ มา แม้จะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แต่เราได้ยินเสียงกู่ร้องของการประท้วงอยู่ตลอดเวลา ถ้าขึ้นไปชั้นสูงสุดของตึก เราก็จะพอมองเห็นได้บ้าง  ในคืนที่ผู้คนเริ่มเอาหม้อเอากระทะมาเคาะไล่เผด็จการ พวกเราก็หาของที่ติดตัวมาและไปเอาเครื่องครัวในศูนย์กักตัวมาเคาะด้วย  ฉันอยู่อย่างนั้นจนครบ 14 วัน มันเป็น 14 วันที่ยาวนานมาก  เมื่อออกมาได้ก็ตั้งใจรีบกลับมารัฐกะเรนนี ไม่กล้าไปร่วมการชุมนุมในย่างกุ้งเพราะไม่รู้ว่าทหารพม่าจะปิดเส้นทางเมื่อไหร่  รถบัสอะไรก็ไม่เหลือวิ่งเลยสักคัน 

ฉันตัดสินใจใช้เงินที่ติดตัวกลับมาเหมาแท็กซี่ นั่งแท็กซี่คนเดียวจากย่างกุ้งมาลอยก่อ แวะนอนระหว่างทางในรถ ซึ่งฉันไม่กล้าหลับเลยเพราะกลัวมาก มันมีแค่ฉันกับคนขับแท็กซี่สองคน ยังดีที่เขานิสัยดี ไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้ฉันต้องกลัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่  เราสองคนแทบไม่คุยกันเลย และไม่มีการพูดใด ๆ ถึงเหตุการณ์ทางการเมือง  ไม่มีใครไว้ใจใคร บรรยากาศที่พ่อบอกว่า เราจะไว้ใจใครไม่ได้กลับมาแล้ว ฉันก็ไม่ไว้ใจเขา เขาก็ไม่ไว้ใจฉัน

เมื่อถึงลอยก่อ ฉันต้องเข้ากักตัวอีก 5 วัน ก่อนจะออกมาเมื่อออกมาร่วมการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารกับเพื่อน ๆ ของฉัน  แม่เป็นห่วงฉันมาก แต่ก็ไม่ได้ห้าม  ส่วนพ่อของฉันภูมิใจในตัวฉัน  เขาส่งฉันให้ออกมาเรียนรู้ที่จะเป็นคนกะเรนนีที่มีอิสระ ไม่ใช่คนที่ถูกหล่อหลอมในระบบของพม่า ดังนั้น เขาจึงรู้อยู่แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไม่ออกไปประท้วง 

ฉันยังจำได้ดี เราชุมนุมกันอย่างสงบ แม้แต่หินก้อนเดียวเราก็ไม่เคยปาใส่เขา เราไม่แม้แต่จะตะโกนด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่เราก็เจอกับแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง แล้วข่าวการปราบปรามที่อื่นก็เริ่มเพิ่มขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  เราเริ่มตกใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะตอบโต้ประชาชนแบบนี้ แล้วเพื่อนของฉันเริ่มถูกจับ และเริ่มมีคนหนีเข้าป่าเพื่อจะไปจับอาวุธ จนในที่สุด พ่อก็บอกว่า ฉันอยู่ที่นั่นไม่ปลอดภัยแล้ว

หกเดือนหลังรัฐประหาร ฉันเดินเท้า 5 วันจนถึงชายแดนไทย ในใจฉันขณะนั้นทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น ในวันแรกที่อยู่ในศูนย์กักตัวที่ย่างกุ้ง วันแรกที่ฉันเคาะหม้อและกระทะ และวันที่ฉันออกเดินถือป้ายอยู่บนถนนในลอยก่อ ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะเข่นฆ่าประชาชนทั้งประเทศได้จริง ๆ 

ถึงทุกวันนี้ กองทัพพม่าฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก คนแก่ ทั่วทุกหนทุกแห่ง เครื่องบินรบทิ้งระเบิดทุกวัน วันละหลาย ๆ ที่ รัฐกะเรนนีเรามีคนพลัดถิ่นมากกว่าคนไม่พลัดถิ่น ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสถานการณ์จะแย่ลงได้ขนาดนี้ หากเมื่อสองปีก่อนใครมาถามฉันว่าคิดยังไงกับอนาคตของพม่า ฉันคงจะตอบอย่างมีความหวัง ไม่มีทางจะนึกภาพออกได้เลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปได้

และถ้าตอนนี้ ใครมาถามฉันถึงอนาคต ฉันก็ยังมืดมน อนาคตของฉันที่กำลังจะเบ่งบานจบไปพร้อมกับการยึดอำนาจของกองทัพพม่า  แต่ฉันก็ต้องต่อสู้เพื่อจะได้มันกลับคืนมา เราจะเริ่มต้นกันใหม่ การต่อสู้คงจะอีกยาวนาน และเราจะต้องไม่สิ้นหวัง

3 พฤศจิกายน 2565
ภาพประกอบ Kantarawaddy Times

Related