แค่สายน้ำกั้น
น้ำเมยฤดูหนาวที่ไหลผ่านจ.พะอันของรัฐกะเหรี่ยงกับอ.ท่าสองยาง จ.ตากดูนิ่งสงบ หลอกตาเหมือนว่าพื้นที่ฝั่งตรงข้ามน้ำกำลังเพลิดเพลินกับสันติ แต่อันที่จริงเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เด็กชายท้องถิ่นกลับโชคร้ายเจอน้ำเชี่ยววน หล่นหายไปเป็นศพให้พบเจอที่ปลายน้ำ ขณะที่กลิ่นไอสงครามก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่ต่างจากหมอกสีขุ่น
บนฝั่งน้ำ ฐานทัพกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ตั้งตระหง่าน BGF ที่นี่แต่เดิมคือทหารกะเหรี่ยงที่กองทัพพม่าสั่งให้แปลงสถานะมาจากกองกำลัง DKBA (กะเหรี่ยงพุทธ) ในช่วงที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ความขัดแย้งสร่างซา ชาวบ้านไปมาปกติ แต่ในยามนี้ ครูที่เพิ่งเดินผ่านกล่าวว่า
“ก็ดูเหมือนเดิม แต่กล้ามเนื้อที่บ่าของฉันมันแข็งตึงขึ้นมาเมื่อผ่านพวกเขา”
ช่วงเดือนที่ผ่านมา ชุมชนกะเหรี่ยงริมขอบแดนแหงนหน้าเจอโดรนสำรวจบินวน พวกเขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ทหาร BGF ที่กระจายทั่วเขตถูกเรียกไปผลัดเปลี่ยน แต่จำนวนคนที่มาใหม่ทวีคูณจากของเดิม
“ที่ติดกับโรงเรียน ทหารคนพม่าในชุด BGF มากัน 6 คันรถ ติดอาวุธใหม่มาพร้อม พวกเขาเดินถือปืนไปทั่ว เข้ามาในหมู่บ้าน เข้ามาในโรงเรียน เข้ามาถามชื่อเด็กผู้หญิงสาว ๆ”
โรงเรียนเลิก เด็ก ๆ เก็บตัวอยู่ในบ้านและหอพัก
“ครูที่พูดภาษาพม่าได้ไปเจรจาว่า ถือปืนเข้ามาในโรงเรียนน่ะมันไม่ถูกต้อง” ครูผู้คุ้นชินกับการต่อรองกับทหาร DKBA/BGF ที่เคยเป็นปัญหามาก่อนเล่า “ที่ไหน ๆ ก็ต้องมีกฎว่าทหารต้องไม่ถือปืนเข้ามาในโรงเรียน พูดแล้วก็เหมือนจะฟัง แต่บางทีพวกเขาเมาเหล้า เมาแล้วทำได้ทุกอย่าง กินเหล้าเสียงดัง พูดอะไรฉันได้ยินหมด แล้วก็เข้าหมู่บ้านมาเรียกใช้มอเตอร์ไซค์ วันก่อนไม่มีมอเตอร์ไซค์อยู่เลย เขาก็โกรธอาละวาด ฉันต้องสวนกลับไปว่า เมื่อมันไม่มีก็จะให้ทำยังไง กองทัพคุณไม่มีงบประมาณมาซื้อมอเตอร์ไซค์ใช้หรือ”
“เวลาเขาเรียกใช้ของของเรา ใครจะกล้าปฏิเสธ เขาไม่เคยเติมน้ำมัน ไม่เคยจ่ายเงิน” คนเล่าหยุดรับกับเสียงเฮฮาของเพื่อนในกลุ่มที่ว่า บางทีให้ไปของก็อาจหายไปเลย เรื่องราวเริ่มกลับไปเหมือนยุคที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นเด็กเล็ก ที่ทหารพม่าจะเข้ามาเรียกใช้ทุกสิ่งหรือเอาหมูไก่ชาวบ้านได้ตามใจชอบ
ทั่วทั้งตำบล ทหารจากฐานทัพพม่าและ BGF ที่มีจำนวนพอ ๆ กับโรงเรียน เดินลาดตระเวนบนถนนเส้นหลัก ชุมชนติดถนนต้องหวาดหวั่นเป็นพิเศษ ทั้งหวาดกับเหตุร้ายเฉพาะหน้า และนัยของมัน
“พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เราก็เตรียมพร้อม” ต่างคนต่างบอกว่า “กลัว” แต่ด้วยสายตาและน้ำเสียงกลับไม่เจือความหวาดหวั่น ในปี 2552 หลายคนตรงนี้คือครูที่พาเด็กนักเรียนหนีข้ามแม่น้ำมาราวกับแม่ไก่ที่กางปีกปกป้องลูก และอีกหลายคน ก็คือเด็กที่หลบหนีข้ามน้ำมาในวันนั้น ทุกคนรู้จักการลี้ภัย
“เราเก็บข้าวไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว เราไม่ให้เขาเอาไปกินหรือเผาของเราได้ และเราก็เตรียมอาหารพร้อมสำหรับการอพยพ” เสียงหนึ่งว่าโอกาสที่เขตนี้จะยิงกันมี 50-50 แต่เพื่อนก็เถียงว่า 60-40 หรือ 70-30 เถียงกันไปมา ว่าแล้วทุกคนก็ยังวางแผนจะใช้ชีวิตกันไปตามปกติ
“เขาไม่ต้องการให้เราอยู่เป็นสุข แต่เราก็อยู่กันได้อย่างเป็นสุข แค่..เมื่อถึงวันที่เราต้องหนี เราแค่ขอพื้นที่ให้ได้พักอยู่” แม้กระทั่งข้าวสารยังพอมีเตรียมไว้ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงในประเทศไทยก็พร้อมช่วยเหลือ
“ขอพื้นที่สักนิด เราขอเพียงเท่านั้นจากรัฐบาลไทย”
น้ำเมยนิ่งสงบเหมือนอยู่กลางโลกสันติ แต่หมอกขาวกลับคือควันสงครามที่กำลังคุกรุ่น เพื่อนบ้านของเราไม่ได้ขออะไรมากมาย แค่สายน้ำกั้น เหตุใดจะมองเป็นคนไม่เท่ากัน
29 มกราคม 2565