ผู้ลี้ภัยไม่ได้เดินทางกลับโดยสมัครใจ
จากรายงานของสื่อ ในการแถลงข่าววันนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันไทยไม่มีนโยบายในการผลักดันลี้ภัย ยืนยันว่าจะดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม โดยผู้ที่เดินทางกลับนั้น เป็นการเดินทางด้วยความสมัครใจ
หากจากข้อมูลที่มิได้รับมาจากเพียงฝ่ายเดียว ผู้ลี้ภัยได้พยายามอธิบาย ขอร้อง ต่อรอง เพื่อขอพักอยู่ต่อบนแผ่นดินไทยอีกเพียงระยะหนึ่ง ให้แน่ใจว่าการทิ้งระเบิดยุติ เสียงปืนใหญ่เงียบหายแล้ว โดยไม่มีเจตนาจะอยู่ต่อยาวในประเทศไทย แต่ไม่มีใคร “ได้ยิน”
การเดินทางกลับ เนื่องจากไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ยังถูกไล่ให้ “กลับไปก่อนได้ป่ะ” ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความสมัครใจ การถูกบังคับกดดันให้ทำสิ่งใด ไม่อาจตัดสินได้ว่า “ยินยอม” หรือ “ไม่ยินยอม” โดยพิจารณาเพียงว่ามีการใช้กำลังหรืออาวุธบังคับหรือไม่
หากรัฐไทยมีนโยบายจะไม่รับผู้ลี้ภัยเนื่องจากกลัวโควิด กลัวเป็นภาระ กลัวกองทัพพม่าไม่พอใจ ฯลฯ ก็ควรกล้าชี้แจงมาตรงไปตรงมาว่า การผลักดันกลับเป็นสิ่งสมควรแล้ว การใช้กำลังทหารกั้นพรมแดนไม่ให้ผู้ลี้ภัยจำนวนอย่างน้อย 46 คนซึ่งหลบหนีการยิงปืนใหญ่ใส่ชุมชนมายังแม่โป ฝั่งไทย ก็เป็นนโยบายที่ถูกต้องสมควรโดยรัฐจะไม่เคารพหลักการจารีตสากลใด ๆ
หรือหากรัฐยังยืนยันว่ามิได้มีการปิดกั้นผู้ลี้ภัย และการกลับทั้งหมดเป็นไปอย่างสมัครใจ ก็จะต้องไม่ปิดกั้น ปล่อยให้สื่อมวลชนและประชาชน โดยเฉพาะคนท้องถิ่นและญาติพี่น้องของผู้ลี้ภัยที่อยู่ฝั่งไทย เข้าถึงพื้นที่ ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอกันได้อย่างเสรี
หากท่านปฏิบัติเหมาะสมแล้ว ก็ควรให้ผู้คนได้เข้าไปสัมผัสความจริงมิใช่หรือ
1 เมษายน 2564
หมายเหตุ ภาพวิดีโอในเช้าวันที่ 30 มีนาคม 2564 ถ่ายโดยชาวบ้านสาละวิน