![](https://friends-without-borders.org/wp-content/uploads/2025/02/3-1024x1024.png)
PNO ยังคงบังคับเกณฑ์ทหาร ชาวบ้านเผยต้องจ่ายเงินเลี่ยงการเข้าประจำการ
องค์การแห่งชาติปะโอ (PNO) ยังคงบังคับเกณฑ์ทหารในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมตั้งแต่กลางปี 2022 โดยดำเนินการฝึกทหารขั้นพื้นฐานเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งขณะนี้มีการฝึกตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 จนถึงสัปดาห์ที่ 7
ก่อนหน้านี้ ครอบครัวในพื้นที่สามารถจ่ายเงิน 350,000 จ๊าตต่อครัวเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร แต่หากไม่สามารถจ่ายได้ สมาชิกในครอบครัวจะถูกบังคับให้เข้าประจำการ ล่าสุด การเกณฑ์ทหารยังคงดำเนินต่อไป โดยชาวบ้านถูกเรียกเก็บเงิน 300,000 จ๊าตต่อครัวเรือน ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศต้องจ่ายสูงสุดถึง 1 ล้านจ๊าต
“ตอนนี้พวกเขาเรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้น เป็น 350,000 จ๊าตต่อครอบครัว ถ้าไม่สามารถจ่ายได้ ก็ต้องส่งสมาชิกในบ้านเข้ากองทัพ หนึ่งในเพื่อนของผมถูกเกณฑ์ไปแบบนี้ ตอนนี้ครอบครัวของผมก็ต้องจ่ายเงินเช่นกัน เราถูกบังคับให้จ่ายปีละ 1 ล้านจ๊าต ส่วนคนที่อยู่ในหมู่บ้านต้องจ่าย 300,000 จ๊าตต่อครัวเรือน ส่วนคนที่อยู่ต่างประเทศต้องจ่าย 1 ล้านจ๊าต” ชาวบ้านจากเขตหมู่บ้านหนองแจ่ว เมืองสี่แสง ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทย กล่าว
หลังจากการสู้รบเพื่อควบคุมเมืองสี่แสง PNO ได้เพิ่มความเข้มข้นในการบังคับเกณฑ์ทหาร แม้ว่ากำหนดอายุสำหรับการเกณฑ์จะอยู่ระหว่าง 18-35 ปี แต่มีรายงานว่าข้อกำหนดนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัด โดยพบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีถูกส่งไปแนวหน้า
“ความจริงแล้ว พวกเขาเกณฑ์คนอายุระหว่าง 18-60 ปี บางคนอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วยซ้ำ ในการฝึกทหารที่เมืองปิ่นลวงปี 2024 มีนักเรียนที่ยังเรียนไม่จบถูกบังคับเข้าร่วม พวกเขาให้เหตุผลว่า ทุกคนควรได้รับการฝึกทหาร นั่นทำให้มีเยาวชนอายุต่ำกว่าเกณฑ์จำนวนมากถูกบังคับเข้าไป เด็กทหารไม่ควรมีในกองกำลังใดๆ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ นี่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เราพบว่า มีเด็กถูกส่งไปแนวหน้าจริงๆ และบางคนถูกบันทึกภาพไว้ ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองสี่แสง เราพบว่าผู้เสียชีวิตบางคนอายุเพียง 14-15 ปี” ผู้นำองค์กรเยาวชนปะโอกล่าว
นักศึกษาวัย 20 ปีจากเขตหมู่บ้านหนองแจ่ว ซึ่งกำลังศึกษาในค่ายผู้พลัดถิ่นบริเวณชายแดน เปิดเผยว่า หมู่บ้านของเขาถูกกดดันให้ส่งคนเข้ากองทัพ และผู้ที่ไม่สามารถกลับไปได้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
“พวกเขาเรียกให้กลับไปเป็นทหาร ถ้าไม่กลับไป ก็ต้องจ่ายเงิน ครอบครัวของผมแจ้งว่าผมต้องจ่าย 1 ล้านจ๊าต แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงาน กำลังเรียนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ผมยื่นคำร้องขอยกเว้นไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ นอกจากนี้ การติดต่อกับครอบครัวก็ยากมาก เพราะอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของพวกเขามีจำกัด” เขากล่าว
สำหรับครอบครัวที่มีแต่ผู้สูงอายุหรือผู้หญิง ซึ่งไม่สามารถเข้ารับราชการทหารได้ พวกเขาต้องจ่ายเงินหรือจ้างคนอื่นมาเป็นตัวแทนแทน รายงานระบุว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ต่างประเทศส่วนใหญ่เลือกจ่ายเงินแทนการกลับไปเข้ากองทัพ โดยจำนวนเงินและระยะเวลาในการจ่ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้นำหมู่บ้านแต่ละแห่ง
ที่มา: Kantarawaddy Times
ภาพ: BNI Online
![](https://friends-without-borders.org/wp-content/uploads/2025/02/4-1024x1024.png)
ค่ายผู้พลัดถิ่นในพะซองเผชิญวิกฤตมาลาเรีย รักษาลำบาก-ขาดแคลนยา
ค่ายผู้พลัดถิ่นในพื้นที่ตะวันตกของเมืองพะซอง รัฐกะเรนนี กำลังเผชิญกับการระบาดของโรคมาลาเรียอย่างรุนแรงในเดือนนี้ ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนยาและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ยากลำบาก ตามรายงานจากแหล่งข่าวในพื้นที่
“จำนวนผู้ป่วยมาลาเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายของเราไม่มีสถานพยาบาลเลย ทำให้ต้องเดินทางไปที่คลินิกเซโลขิ ซึ่งเป็นคลินิกที่ใกล้ที่สุด แต่เส้นทางนั้นไกลและลำบากมาก อีกทั้งการอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ ทำให้การเข้าถึงยาที่จำเป็นเป็นเรื่องยากมาก” ผู้หญิงคนหนึ่งในค่ายผู้พลัดถิ่นกล่าว
การเดินทางไปยังคลินิกเซโลขิต้องใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงในการเดินเท้า ส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้เดินทางไปถึงแล้ว คลินิกก็มีเพียงยาลดไข้พื้นฐาน และไม่มีตัวยาสำคัญสำหรับรักษาโรคร้ายแรง เช่น มาลาเรียและไข้เลือดออก
“มียารักษาอาการไข้ทั่วไปอยู่บ้าง แต่เมื่อเป็นโรคร้ายแรงอย่างมาลาเรียและไข้เลือดออก ยากลับขาดแคลนอย่างหนัก” ผู้พลัดถิ่นอีกรายกล่าว
มีความพยายามในการจัดตั้งคลินิกสำหรับผู้พลัดถิ่นในพื้นที่ตะวันตกของเมืองพะซอง แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเงินและความห่างไกล ทำให้ผู้บริจาคไม่สามารถเดินทางเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้
ค่ายผู้พลัดถิ่นแห่งนี้มีประมาณ 100 ครัวเรือน และมีประชากรกว่า 300 คน โดยรายงานระบุว่าเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรในค่ายติดเชื้อมาลาเรียแล้ว
ที่มา: Kantarawaddy Times
ภาพ: BNI Online
![](https://friends-without-borders.org/wp-content/uploads/2025/02/5-1024x1024.png)
ไทยเตรียมลดจ่ายไฟ 50 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่ต้องสงสัยเมียนมา สกัดเครือข่ายอาชญากรรม
รัฐบาลไทยเตรียมลดการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพื้นที่ในเมียนมาที่ต้องสงสัยว่าเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการของขบวนการอาชญากรรมลง 50% ตามคำสั่งของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งประกาศมาตรการนี้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อหารือแนวทางการตัดไฟฟ้าในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
นายภูมิธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย ระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้แจ้งรัฐบาลเมียนมาเกี่ยวกับมาตรการนี้ โดยคาดว่าหลายเมืองชายแดนเมียนมา รวมถึง ชเวก๊กโก (Shwe Kokko) ในเขตเมืองเมียววดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแก๊งโกงออนไลน์ใช้เป็นฐานปฏิบัติการ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีกลาโหมมีกำหนดเดินทางไปยังอำเภอแม่สอดในวันพฤหัสบดีนี้เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนจะออกคำสั่งลดกำลังการจ่ายไฟฟ้าให้กับพื้นที่ดังกล่าวลงครึ่งหนึ่ง
อ้างอิง: The Irrawaddy
ภาพ: Bangkok Post
![](https://friends-without-borders.org/wp-content/uploads/2025/02/6-1024x1024.png)
ระเบิด UXO ระเบิดในหมู่บ้านไทเกียว เด็ก 5 ขวบเสียชีวิต พร้อมผู้ใหญ่ 2 ราย
องค์กรช่วยเหลือในเมืองกวา เปิดเผยกับ DVB ว่าเกิดเหตุระเบิดจาก วัตถุระเบิดที่ยังไม่ทำงาน (UXO) ในหมู่บ้านไทเกียวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 3 ราย รวมถึงเด็กชายวัย 5 ขวบ โดยระเบิดเกิดขึ้นขณะที่เด็ก 3 คนเล่นอยู่บริเวณดังกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมืองกวาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของรัฐอาระกัน (ซิตตเว) ไปทางใต้ราว 402 กิโลเมตร และอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอาระกัน (AA) ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา
“เด็กชายคนหนึ่งเสียชีวิตทันที ขณะที่เด็กอีก 2 คนบาดเจ็บสาหัส และมีผู้ใหญ่ 2 รายเสียชีวิตจากแรงระเบิด” เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์รายหนึ่งกล่าวกับ DVB โดยขอไม่เปิดเผยตัวตน
ข้อมูลของ DVB ระบุว่าในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 62 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 55 ราย จากการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ในพื้นที่ 5 เมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอาระกัน ได้แก่ รามรี มรัคอู รัฐเตาดอง ปอนนากยุน และกวา
ที่มา: DVB
ภาพ: Development Media Group
![](https://friends-without-borders.org/wp-content/uploads/2025/02/7-1024x1024.png)
ร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาลสะกาย มุ่งแก้ปัญหาช่องว่างการปกครองในกลุ่มต่อต้าน
คณะกรรมาธิการภายใต้สภาแห่งสหพันธรัฐสะกาย (SFUH) ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาลฉบับที่สอง ซึ่งมีทั้งหมด 18 บท เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะจากผู้ที่เกี่ยวข้องภายในเดือนหน้า โดยร่างฉบับนี้กำหนดให้ใช้ ระบบรัฐสภาที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งนี้ ร่างฉบับแรกเคยเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม
นาย มยิ่นห์ เตว้ ประธาน SFUH กล่าวกับสำนักข่าว DVB ว่า รัฐธรรมนูญเฉพาะกาลนี้จะช่วยแก้ไขปัญหา “ช่องว่างในการปกครอง” ที่เกิดขึ้นในกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารในสะกาย
“เมื่อผมยกปัญหาขึ้นไปยังหน่วยงานระดับสหภาพ พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพราะอยู่ไกลจากพื้นที่ของเรา และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาตัดสินใจได้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว” เขากล่าว
เมื่อรัฐธรรมนูญเฉพาะกาลมีผลบังคับใช้ ภูมิภาคสะกายจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยงานสหพันธรัฐสะกาย” โดยยังคงมีอาณาเขตตามผลการเลือกตั้งทั่วไปปี 2020 นอกจากนี้ จะยังคงรับรอง เมืองเลฉี ลาห่ะ และนามยุน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองตนเองนากา (SAZ) และจะเปิดทางให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สามารถจัดตั้ง SAZ หรือ “ดินแดนแห่งชาติ” ได้
ที่มา: DVB
ภาพ: Myanmar Now