เพื่อนข้างบ้าน: อัพเดทสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาร์ประจำสัปดาห์ [12 กุมภาพันธ์ 68]

เพื่อนข้างบ้าน: อัพเดทสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาร์ประจำสัปดาห์ [12 กุมภาพันธ์ 68]

| | Share

งบช่วยเหลือสหรัฐฯ ถูกระงับ กระทบ 35,000 ชีวิตในรัฐกะเรนนี

หลังจากสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ระงับความช่วยเหลือบางส่วนต่อเมียนมาร์เป็นการชั่วคราว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนราว 35,000 คน ใน 5 อำเภอของรัฐกะเรนนี ได้แก่ ลอยก่อ หรูโซ เดโมโซ เปคอน และแม่เส่ ตามการเปิดเผยของ อู บา ญา รองเลขาธิการ (2) สภาบริหารเฉพาะกาลรัฐกะเรนนี (IEC)

“ด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม IEC ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเกี่ยวกับเสบียงอาหาร แต่ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการตอบสนอง (EWER) ได้รับผลกระทบ ขณะที่องค์กรภาคประชาสังคมบางแห่ง (CSO) ถูกตัดงบประมาณสำหรับให้ความช่วยเหลือ รวมถึงงบประมาณส่วนตัวและเงินช่วยเหลือเป็นเงินสด เรากำลังรวบรวมข้อมูล และจากการประเมินพบว่ามีประชาชนราว 35,000 คนที่ได้รับผลกระทบ” อู บา ญา กล่าว

แม้ว่าจะมีการระงับความช่วยเหลือบางส่วน แต่ยังคงมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการรับความช่วยเหลือจากนานาชาติต่อไป โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรม

ขณะที่กลุ่ม “นวย อู กูรู เล มยาร์” ซึ่งให้การช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นในช่วงการปฏิวัติ เปิดเผยว่า พวกเขากำลังเผชิญความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากองค์กรพันธมิตรบางแห่งได้ถอนตัวออกไป

“ความช่วยเหลือส่วนใหญ่ถูกระงับ การสนับสนุนด้านการป้องกันภัยทางอากาศถูกตัด โครงการขององค์กรพันธมิตร เช่น การสร้างบังเกอร์ใต้ดินในโรงเรียนก็ถูกยกเลิก นอกจากนี้ โรงพยาบาลและคลินิกที่เคยได้รับยาและการสนับสนุนจากองค์กรพันธมิตรก็หยุดลงแล้ว เงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ก็ถูกระงับ แม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย แต่ความยากลำบากได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก” โก ตินต์ เจ้าหน้าที่การเงินของกลุ่มกล่าว

แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากตลอด 4 ปีของการต่อต้าน อู บา ญา ย้ำว่าความหวังไม่ควรหมดไป และทุกคนต้องร่วมมือกันทำให้ดีที่สุด

“สิ่งที่แน่นอนคือเรากำลังพยายามรักษาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติให้ต่อเนื่อง เมื่อเร็ว ๆ นี้ IEC ได้ประชุมหารือกับองค์กรด้านมนุษยธรรม และจากการพูดคุย เรากำลังวางแผนระดมทุน แม้ว่าจะไม่สามารถชดเชยเงินที่ขาดไปได้ทั้งหมด แต่เรามุ่งมั่นให้มีเสบียงอาหารเพียงพอ นี่ไม่ใช่แค่หน้าที่ของ IEC เท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกองค์กรภาคประชาสังคม” อู บา ญา กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 มกราคม คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (IRC) ยังได้ประกาศระงับบริการด้านสาธารณสุขทั้งหมดในค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ ส่งผลให้ผู้ป่วยทั้งหมดต้องออกจากค่าย

รัฐกะเรนนียังคงเผชิญปัญหาผู้พลัดถิ่นจำนวนมากจากความขัดแย้งทางอาวุธ โดยมีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDP) ราว 300,000 คน แม้ว่าบางส่วนจะสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรและงานอื่น ๆ แต่ก็ยังขาดแคลนปัจจัยจำเป็นอย่างหนัก ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม

องค์การแห่งชาติปะโอ (PNO) ยังคงบังคับเกณฑ์ทหารในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมตั้งแต่กลางปี 2022 โดยดำเนินการฝึกทหารขั้นพื้นฐานเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งขณะนี้มีการฝึกตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 จนถึงสัปดาห์ที่ 7

ที่มา: Kantarawaddy Times

กองทัพอากาศเมียนมาร์โจมตีทางอากาศ TNLA ยืนยันเหตุโจมตีเกิดขึ้นจริง

กองทัพอากาศเมียนมาร์เปิดฉากโจมตีทางอากาศในเมืองโมก๊ก ภูมิภาคมัณฑะเลย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีก 20 ราย บ้านเรือนจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหายจากการโจมตีครั้งนี้

ชาวเมืองโมก๊กให้ข้อมูลกับสำนักข่าว DVB ว่า เครื่องบินรบของกองทัพได้ทิ้งระเบิดมากกว่า 20 ลูก ในการโจมตีทางอากาศ 7 ครั้ง ทางตะวันตกของเมืองโมก๊ก ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ไปทางเหนือราว 200 กิโลเมตร

“ระเบิดตกลงบริเวณเหมืองทับทิม ได้ยินมาว่ามีปัญหาระหว่างคนงานเหมืองกับบุคคลที่แจ้งข้อมูลตำแหน่งให้กองทัพ” ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวโดยไม่เปิดเผยตัวตน

กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) สามารถยึดเมืองโมก๊ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเหมืองทับทิม ได้ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา

การยึดครองครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการ “Operation Shan-Man” ซึ่งกองกำลัง TNLA และกองกำลังป้องกันประชาชนมัณฑะเลย์ (MPDF) ร่วมกันเปิดฉากโจมตีสองแนวรบในภูมิภาคมัณฑะเลย์และรัฐฉานตอนเหนือ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน

TNLA ยืนยันการโจมตีทางอากาศของกองทัพผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมต่อ DVB

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 มกราคม กองทัพอากาศเมียนมาร์ได้ทำการโจมตีทางอากาศใกล้สนามกอล์ฟในเมืองโมก๊ก แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว การโจมตีทางอากาศในโมก๊กเคยทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บ 13 ราย TNLA ระบุว่าขณะนี้กำลังดำเนินการบริหารเมืองและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับประชาชนในพื้นที่

ที่มา: DVB

เมียนมาร์บังคับเกณฑ์ทหาร! เยาวชนเกือบ 200 คนถูกจับที่เมืองกะเล

คณะกรรมการนำการต่อสู้ของประชาชนในเมืองกะเล เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ว่า กองทัพเมียนมาร์ได้จับกุมเยาวชนเกือบ 200 คนในเมืองกะเล ภายใต้กฎหมายการเกณฑ์ทหารที่บังคับใช้โดยสภาทหาร

หลังจากที่รัฐบาลทหารบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ พวกเขาได้เพิ่มการจับกุมเยาวชนในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตน โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน คณะกรรมการฯ ระบุว่า การจับกุมได้ขยายไปถึงเขตชุมชนในเมือง รวมถึงบริเวณวัดและสถานที่ทางศาสนา

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงชาวบ้านจากหมู่บ้านโบงตอ ใกล้เมืองกะเล ถูกจับโดยทหารเพื่อเข้ารับการฝึกทหารรุ่นที่ 9 แต่เนื่องจากเธอมีแผลผ่าตัดช่องท้อง จึงถูกเรียกเก็บเงินค่าไถ่ 150,000 จ๊าต (ประมาณ 2,300 บาท) เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แหล่งข่าวใกล้ชิดกับผู้หญิงคนดังกล่าวเปิดเผยว่า

“เธอยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ขณะที่เข้าไปในเมืองก็ถูกจับตัวเพื่อนำไปเกณฑ์ทหาร แต่เพราะว่าเธอเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน ทหารบอกว่าใช้การไม่ได้ และสั่งให้จ่ายเงิน 150,000 จ๊าตเพื่อแลกกับอิสรภาพ ตอนนี้เธอได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่การจับกุมกำลังเพิ่มขึ้น ทั้งคนที่รู้เรื่องนี้และคนที่ไม่รู้ล้วนแต่กลัวว่าจะถูกจับตัว” แหล่งข่าวกล่าว

จากข้อมูลของคณะกรรมการฯ ในเมืองกะเล ตั้งแต่การเปิดรับสมัครทหารชุดที่ 6 จนถึงปัจจุบัน มีเยาวชนถูกจับกุมรวมทั้งหมด 185 คน และคาดว่าตัวเลขอาจสูงกว่านี้ ปัจจุบันกองทัพเมียนมาร์ได้เพิ่มการเกณฑ์ทหารไปถึงรุ่นที่ 9 และมีการจับกุมทั้งชายและหญิงจากทั้งหมู่บ้านและเขตเมือง คณะกรรมการฯ ยังระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ กองทัพได้เพิ่มการตั้งจุดตรวจบนถนนและบริเวณชุมชนเมือง โดยผู้ที่ถูกจับกุมมีโอกาสถูกส่งเข้าค่ายฝึกทหารโดยไม่มีโอกาสไถ่ตัวออกมา

“ตอนนี้การจับกุมเกิดขึ้นแบบไม่มีช่องว่างเลย ในเขตเมืองกะเล พอทหารจับตัวไปแล้ว ก็แทบไม่มีโอกาสได้รับการปล่อยตัว คนในชุมชนต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกชายและลูกสาววัยรุ่น บางคนถึงกับได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิต” เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการฯ กล่าว

เนื่องจากการจับกุมเยาวชนที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการฯ จึงได้ออกคำเตือนให้เยาวชนในเมืองกะเล หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านในเวลากลางคืน หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น และจับตาดูความเคลื่อนไหวของทหารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการถูกจับกุมเข้าสู่ระบบเกณฑ์ทหารของรัฐบาลเผด็จการ

ที่มา: Myanmar Peace Monitor

DKBA เตรียมส่งตัวชาวต่างชาติกว่า 170 คนที่ถูกค้ามนุษย์ในเมียวดีกลับประเทศผ่านไทย

เขตพื้นที่ควบคุมของกองกำลัง DKBA (Democratic Karen Buddhist Army) ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง พบชาวต่างชาติกว่า 170 คนถูกบังคับใช้แรงงานในเครือข่ายหลอกลวงทางการเงิน โดยขณะนี้ DKBA กำลังประสานงานกับทางการไทยเพื่อส่งตัวพวกเขากลับประเทศ

ขณะเดียวกัน ฝ่ายความมั่นคงไทยเตรียมออกหมายจับผู้นำระดับสูง 3 คนของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (BGF) ที่ควบคุมพื้นที่แถบชเวก๊กโก ด้วยข้อหาพัวพันขบวนการค้ามนุษย์

พลเอกซอ ซาน อ่อง ผู้บัญชาการ DKBA ระบุว่า ขณะนี้กำลังคัดกรองข้อมูลของเหยื่อแต่ละคนตามสัญชาติ และเตรียมส่งตัวกลับประเทศผ่านทางไทยภายในไม่กี่วันข้างหน้า พร้อมยืนยันว่า DKBA ไม่ยอมรับการบังคับใช้แรงงานหรือกักขังหน่วงเหนี่ยว

นี่เป็นครั้งแรกที่ DKBA มีการส่งตัวเหยื่อค้ามนุษย์กลับประเทศอย่างเป็นทางการ โดยผู้ที่ถูกส่งตัวกลับครั้งนี้ประกอบด้วยพลเมืองจากจีน ฟิลิปปินส์ เนปาล ปากีสถาน เอธิโอเปีย บังกลาเทศ เคนยา และบราซิล

ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาร์ ยังไม่มีการแสดงท่าทีต่อกรณีนี้ แม้ RFA จะพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ที่มา: Radio Free Asia

แรงงานเมียนมาร์ถูกส่งกลับจากมาเลเซีย เผชิญความเสี่ยงถูกเกณฑ์ทหาร

แรงงานชาวเมียนมาร์ที่ถูกทางการมาเลเซียจับกุมฐานพำนักอย่างผิดกฎหมายและถูกส่งตัวกลับประเทศ กำลังถูกกองทัพเมียนมาร์รวบรวมเพื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ตามการเปิดเผยของกลุ่มช่วยเหลือแรงงานในมาเลเซีย

โดยปกติ แรงงานที่ถูกจับกุมจะไม่ได้รับการดำเนินคดีหรือรับโทษจำคุก แต่ทางการมาเลเซียเลือกส่งตัวพวกเขากลับผ่านการประสานงานโดยตรงกับกองทัพเมียนมาร์ ครอบครัวของผู้ถูกส่งกลับหลายรายยืนยันว่า พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวไปหลังเดินทางถึงบ้านเกิดเพียงไม่กี่วัน

“ไม่มีการพิจารณาคดี ไม่มีคำพิพากษา แค่ถูกส่งตัวกลับอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงเมียนมาร์ คนหนุ่มสาวอายุ 20-40 ปี หลายคนถูกบังคับให้เข้ากองทัพ” เจ้าหน้าที่กลุ่มช่วยเหลือแรงงานให้ข้อมูล

ในช่วงต้นปี 2025 แรงงานเมียนมาร์กว่า 1,000 คนถูกจับกุมในมาเลเซีย โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางการมาเลเซียได้ส่งตัวแรงงานเมียนมาร์กว่า 200 คนกลับประเทศแล้ว และยังมีอีกหลายร้อยคนที่กำลังรอถูกส่งตัวกลับ

ในจำนวนผู้ที่ถูกจับกุม บางคนเป็นผู้ที่เคยเข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืน (CDM) ซึ่งต่อต้านรัฐบาลทหาร ทำให้เกิดความกังวลว่า พวกเขาอาจเผชิญกับการดำเนินคดีหรือถูกบังคับเกณฑ์ทหารเมื่อเดินทางกลับ

ขณะที่ทางการมาเลเซียยังคงเดินหน้าปราบปรามแรงงานต่างชาติที่อยู่ผิดกฎหมายต่อไป ชาวเมียนมาร์หลายคนยังคงเดินทางเข้าสู่มาเลเซียอย่างผิดกฎหมายเพื่อหางานทำ ทำให้กลุ่มช่วยเหลือแรงงานออกมาเตือนให้ระวังขบวนการค้ามนุษย์ที่อาจฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้

ด้านกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ เปิดเผยว่า ตัวแทนจากสถานทูตเมียนมาร์ในมาเลเซียได้หารือกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซีย เพื่อประสานเรื่องการส่งตัวแรงงานเมียนมาร์กลับประเทศ

ที่มา: Radio Free Asia

ทหารใหม่เมียนมาร์ถูกส่งไปยังแนวหน้าเพื่อเผาบ้านประชาชนและปล้นทรัพย์สินของรัฐ

ทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมกองทัพเมียนมาร์ภายในปีที่ผ่านมา ถูกส่งไปยังหน่วยแนวหน้าของทหารอย่างรวดเร็ว โดยถูกสั่งให้เผาบ้านของประชาชนและปล้นทรัพย์สินของรัฐ ตามคำบอกเล่าของทหารที่หนีจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับ Radio Free Asia

คำบอกเล่าดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลทหารเมียนมาร์ได้เกณฑ์ชายวัย 18-35 ปีเข้าร่วมกองทัพเพื่อทดแทนการสูญเสียและการสละตัวของทหารในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานาน 4 ปี

พเย่ โซน ทหารใหม่ที่เพิ่งหนีการเกณฑ์เมื่อเดือนที่แล้วและกำลังหลบซ่อนตัว กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลทหารเมียนมาร์ได้ขโมยอาหารจากชาวบ้านอย่างเสรี โดยฆ่าปศุสัตว์และสั่งให้ทหารเผาบ้านของชาวบ้าน

“เมื่อเราเข้าไปในหมู่บ้าน เราจะหยิบจับอาหารที่หามาได้หากเราไม่มีอะไรจะกิน” เขากล่าว “เนื่องจากเราขาดแคลนเสบียง เราถูกสั่งให้ยึดอาหาร เจ้าหน้าที่ทหารย้ำคำขวัญของพวกเขา ‘วัวคืออาหาร บ้านคือฟืน’”

พเย่ โซน ถูกส่งไปที่กองพันทหารที่ 105 ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอินตะคาว จังหวัดบากอ และหลังจากนั้นถูกส่งไปยังเมืองมอนยวาในภูมิภาคซากายน์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเขาและทหารใหม่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในคอลัมน์เดียวกันถูกสั่งให้ลาดตระเวนหมู่บ้านใกล้เคียง และถูกสั่งให้ฆ่าปศุสัตว์เพื่อเป็นอาหารและทำลายบ้าน

ตั้งแต่เมียนมาร์เริ่มเกณฑ์ทหารใหม่เมื่อปีที่แล้ว หลายคนหนีออกนอกประเทศหรือหาทางหลีกเลี่ยงการรับราชการทหาร ทำให้เกิดการจับกุมครั้งใหญ่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในเมืองใหญ่ ซึ่งบางคนอธิบายว่าเป็นการจับกุมและเกณฑ์ทหารอย่างรวดเร็วหรือ “จับแล้วเกณฑ์”

ที่มา: Radio Free Asia

9 องค์กรชาติพันธุ์ร่วมแถลงการณ์มุ่งสร้างสหพันธรัฐประชาธิปไตยในเมียนมาร์

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์และองค์กรประชาชน 9 องค์กรที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าในนามองค์กรชาติพันธุ์ฝ่ายต่อต้านและสภาตัวแทนรัฐและชนชาติต่างๆ (Ethnic Resistance Organizations and Federal Councils Representing State/Nationalities) ประกอบด้วย พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party – KNPP), สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union – KNU), แนวร่วมชาติชิน (Chin National Front), พรรครัฐมอญใหม่ (ต่อต้านเผด็จการทหาร) (New Mon State Party Anti Military Dictatorship – NMSP-AD), สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐคะเรนนี (Karenni State Consultative Council – KSCC), สภาแห่งชาติปะโอ (Pa-O National Federal Council – PNFC), สภาสหพันธ์รัฐมอญ (Mon State Federal Council – MSFC), คณะกรรมการที่ปรึกษาการเมืองตะอาง (Ta’ang Political Consultative Committee – TPCC), สหพันธ์สตรีพม่า (Women’s League of Burma – WLB)

กลุ่มเหล่านี้ได้ร่วมมือกันในการต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและไม่ยอมรับรูปแบบการสร้างสหพันธรัฐที่ฟื้นฟูการรวมศูนย์อำนาจ แต่จะมุ่งสร้างประเทศใหม่ที่แข็งแกร่งผ่านระบบสหพันธรัฐแบบฐานรากจากล่างสู่บน ทั้งหมดได้ออกแถลงการณ์ร่วม โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสหพันธรัฐประชาธิปไตยที่ปกครองด้วยหลักประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยมีเป้าหมายร่วมกับประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารเพื่อถอนรากถอนโคนเผด็จการและก่อตั้งสหพันธรัฐประชาธิปไตย

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 องค์กรฝ่ายต่อต้านกลุ่มชาติพันธุ์ 9 องค์กรและสภาตัวแทนของรัฐและชนชาติต่างๆ ได้ประกาศใช้แนวทางสหพันธรัฐแบบฐานราก (bottom-up federalism approach) ซึ่งเป็นทางเลือกในการสร้างสหพันธรัฐประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง ผ่านโครงสร้างระดับรัฐที่มีความเข้มแข็ง โดยมุ่งหมายให้การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่างกาลเป็นพื้นฐานในการสร้างสหพันธรัฐ

แถลงการณ์ยังกล่าวถึงการพัฒนาธรรมนูญการปกครองในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Articles of Federal Transition Arrangement – AFTA) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นรัฐธรรมนูญในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และจะนำไปปฏิบัติเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์เสร็จสิ้น

ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ

Related