เด็กๆ ที่สวยงามที่สุดของโลก
โดย ทิวา พรหมสุภา มิ.ย. 2552 ศุกร์ที่ 5 มิถุนายน ตอนสาย เด็ก …
“ตอนนี้…หวังแค่ว่าจะได้มือเทียม แล้วจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน” เสียงพูดภาษาพม่าเนิบ ๆ เบา ๆ ดังจากปากชายหนุ่มตัวผอมเล็กท่าทาง ขี้อาย …
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมนั่งรถเกือบสามชั่วโมงจากกรุงย่างกุ้งไปถึงมณฑลพะโค เพื่อจะไปดูถนนเส้นใหม่ที่ตัดจากเมืองหลวงเก่าของพม่าไปเนปิดอว์เมืองหลวงใหม่ มีคนบอกผมว่า ถนนใหม่ใหญ่โตหรูหรามาก และผมก็อยากเห็นกับตา ที่นั่นอากาศร้อนจัดจนผมตาพร่า ผมยังมองไม่เห็นถนนเส้นใหญ่ที่ว่า มีเส้นทางคอนกรีตสองเลนใหม่ ๆเลนดินที่มีรถขุดตักกำลังทำงาน …
ในวันที่จักรวาลและธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างปกติสุข วันนั้นเราก็มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข แต่ในวันที่จักรวาลและธรรมชาติดำเนินไปอย่างผิดแผกแตกต่าง เราก็ทุกข์ยากกับภัยพิบัติและความหายนะ พี่น้องเอย ธรรมชาติรอบตัวได้รับการสรรค์สร้างขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ … ผมเชื่อเช่นนั้น ใครสัก คนหรืออำนาจที่ยิ่งใหญ่บางสิ่งเป็นผู้สร้างให้ธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับขั้นตอนเหมือนมีการ …
กว่า 20 ปีแล้ว ที่อองซาน ซู จี หญิงผู้ได้รับเลือกจากประชาชนชาวพม่าให้เป็นผู้นำในการบริหารบ้านเมือง ถูกรัฐบาลทหารพม่าควบคุมตัวและยึดอำนาจปกครองประเทศพม่าด้วยระบอบเผด็จการมาอย่างยาวนาน จนเมื่อปี 2553 …
เมื่อมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก เราทุกคนต่างมีความฝันที่วาดไว้อย่างสวยงาม บางคนฝันว่าจะเป็นหมอ เป็นครู เป็นวิศวกร พ่อค้าแม่ค้า ดารา นางแบบ ฯลฯ หรือบางคนอาจจะคิดเท่ …
ไม่มีใครคาดคิดว่าบ่ายวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2551 ลมพายุจะหอบเอาฝนห่าใหญ่มาตกที่หมู่บ้านของผม ยิ่งค่ำลมยิ่งพัดแรง ฝนยิ่งตกหนักและไม่มีท่าทีจะหยุดลงง่าย ๆ ต้นมะพร้าวที่ยืนต้นแข็งแกร่ง ถูกลมพายุพัดล้มระเนระนาด บ้านเรือนพังราบเหมือนถูกไฟเผา …
“ฉันยกที่ดินตรงนี้ให้ ไม่เอาเงินหรอก ปลูกบ้านที่นี่แหละ” ป้ามึจิ ยกคำพูดของเจ้าของที่ดิน เพื่อเล่าความหลังเกี่ยวกับที่ดินที่แกปลูกบ้านอยู่ให้ผมฟังด้วยความน้อยใจ เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาเจ้าของที่ขายที่ดินกับนายทุนในเมือง โดยที่ไม่บอกให้แกรู้เลยสักคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกยกที่ดินแคบ ๆ ท้ายแปลงให้แกปลูกบ้าน …
“ถ้าหนูดื้อ หนูจะกลายเป็นนกกระปูดที่ร้อง โมเฮอ โมเฮอ… นะ รู้ไหม” หญิงผู้เป็นแม่ปรามลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเล่นซนลากเก้าอี้ไปมา ผมหันมองแม่ลูกคู่หนึ่งที่เดินทางมาร่วมงานนมัสการพระเจ้า ณ บ้านไม้เก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินหลังนี้เช่นเดียวกับผม …
ฤดูฝนเวียนมาอีกครั้ง คนปกาเกอะญอมุ่งหน้าไปยังนาไร่บนดอยในขณะที่ลูกหลานหิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน ผมนั่งอยู่บนชานบ้านหลังน้อย สายฝนที่โปรยปราย กิ่งไม้ที่ไหวด้วยสายลม และแสงฟ้าแปลบปลาบจาง ๆ บนผืนฟ้าไกล พาให้ใจให้หวนกลับไปยังวันเวลาหนึ่งเนิ่นนานมาแล้ว วันแรกที่ผมได้ไปโรงเรียนนั้นเป็นฤดูฝน ผมเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านในป่าเขาของรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ที่นั่นไม่มีโรงเรียน ถึงวัยเรียนแล้วผมก็ยังวิ่งเล่นอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฝนโปรยปรายลงมาเหมือนวันนี้ ผมอายุได้เกือบสิบขวบ แม่ก็ห่อเสื้อผ้าผมด้วยผ้าอ้อมของน้อง แล้วพาผมออกเดินดอยไปหาป้าที่อยู่ในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง แม่พาผมไปหาป้า แล้วก็พาผมไปฝากไว้ที่โรงเรียน จากนั้นแม่ก็แอบกลับไป เย็นวันนั้นพอโรงเรียนเลิก ผมวิ่งกลับมาที่บ้านป้าแล้วถามหาแม่ พอป้าบอกว่าแม่กลับบ้านไปแล้วและผมต้องอยู่ที่นี่เพื่อจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ผมก็ร้องไห้โฮ ปากโวยวายทั้งน้ำตาว่าแม่ไม่รักผม จึงได้ทิ้งผมไว้แบบนี้ ผมคร่ำครวญให้ป้าพากลับไปหาแม่ ในที่สุดป้าก็ใจอ่อน พาผมเดินดอยหลายชั่วโมงกลับไปบ้าน พ่อแม่ของผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปอยู่กับป้า แต่มิใยที่พวกเขาจะพร่ำบอกว่าการศึกษานั้นสำคัญแค่ไหน ผมก็อาละวาดยืนกรานว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ในที่สุด ผมจึงไปโรงเรียนที่ว่าได้เพียงวันเดียว จากนั้นไม่นาน สงครามระหว่างกองทัพรัฐบาลพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติก็เคลื่อนเข้ามาใกล้หมู่บ้านของเรา กองทัพพม่าออกคำสั่งให้หมู่บ้านผมย้ายไปยังเขตที่พวกเขาควบคุมเเพราะกลัวเราจะสนับสนุนทหารกะเหรี่ยง แน่นอนว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในพื้นที่ควบคุมอย่างนั้น พ่อแม่ของผมตัดสินใจทิ้งบ้านและไร่นาของเราเพื่อหนีมาชายแดน เรามาอยู่ที่ชุมชนคนพลัดถิ่นในพม่าชื่อ “ป้อปาท่า” ติดฝั่งไทย ไม่ไกลจากค่ายผู้ลี้ภัยโชโกลในอำเภอท่าสองยางมากนัก ตอนนั้นค่ายผู้ลี้ภัยยังไม่ทำทะเบียนรับคนมาใหม่ เราจึงพักอยู่ที่ “ป้อปาท่า” กันไปก่อน ที่ป้อปาท่านี้เอง ผมได้เริ่มไปเรียนหนังสือจริงจัง แต่ก็ไม่ต่อเนื่องอยู่ดี เพราะค่ายพักนี้อยู่ในฝั่งพม่า เมื่อไรก็ตามที่การสู้รบใกล้เข้ามา พวกเราก็ต้องหนีไปซ่อนตัวในป่า หรือหนีมาฝั่งไทย ซึ่งเมื่อทหารไทยรู้ว่าทหารพม่ากลับไปแล้ว เขาก็จะมาบอกให้เรากลับไป เมื่อทหารพม่ามาอีก เราก็ต้องหนีอีก ผมเรียนไปหนีไปอยู่แบบนั้นทั้งปี จนกระทั่งฤดูฝนปีนั้น ฝนตกหนักและฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนวันนี้ น้ำหลากจนไม่มีที่หลบภัยในฝั่งพม่า เราก็ข้ามแม่น้ำเมยเข้ามาแอบอยู่ในซอกผาตีนดอยใหญ่ในประเทศไทยอีกครั้ง ขณะที่หลบอยู่ที่นั่น น้าสาวคนเล็กของผมซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยอยู่แถว ๆ อำเภอพบพระก็มาตามหา สมัยนั้นเจ้าหน้าที่ไทยไม่เข้มงวดกับการเดินทางของผู้ลี้ภัยนัก แกเลยหาเราเจอได้ไม่ยาก น้าสะเทือนใจที่เห็นพวกเราต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แถมผมกับพี่น้องก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แกเลยว่าจะพาพี่สาวกับผมไปด้วยกัน พี่สาวผมจะได้ไปอยู่กับน้า ส่วนผมจะต้องไปอยู่กับญาติของเราอีกคนที่ค่าย ผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลก อำเภอแม่สอด ผมมองแม่ยัดกางเกงปะตูดกับเสื้อตัวเก่าสีมอ ๆ สองชุดลงในย่าม คราวนี้ผมไม่ได้อาละวาด ยอมขึ้นรถไปกับน้าโดยดี ในใจก็อยากไปเรียนหนังสือสบาย ๆ ไม่ต้องหลบหนีอยู่แบบนี้ บางทีผมคิดว่าที่ที่จะไปนั้นน้าบอกว่านั่งรถแค่สามชั่วโมง ผมคงไปมาหาพ่อแม่ได้ง่าย ๆ ด้วย วันรุ่งขึ้นป้าที่ผมไปอยู่ด้วยพาผมไปฝากเข้าโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลก ครูจัดให้ผมไปเข้าห้องป.หนึ่ง ผมเดินเข้าห้องไปเจอครูกำลังเขียนตัวหนังสือฝรั่ง ผมมองมันอย่างงุนงง ใจเต้นตูมตาม แอบนึกในใจว่า แย่แล้วเรา เขียนหนังสือตามเขาไม่ได้สักตัว ถึงเวลาพักเที่ยง ผมต้องเดินกลับไปกินข้าวบ้านป้า แต่ผมจำทางไม่ได้ ค่ายผู้ลี้ภัยห้วยกะโหลกใหญ่โตกว่าหมู่บ้านทุกแห่งที่ผมเคยไป ผมจึงนั่งแอบอยู่แถว ๆ โรงเรียนจนถึงบ่าย ตอนที่เดินกลับเข้าห้องเรียน ผมรู้ว่าเพื่อนบางคนจ้องมองผม มีบางคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วย เขาคงหัวเราะกางเกงตูดปะของผมแน่ ๆ ผมลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่แล้วก็มีครูอีกคนเดินเข้ามาบอกว่า ผมต้องไปเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ไม่ใช่ป.หนึ่ง ผมเดินตามครูคนนั้นไปนั่งในห้องอนุบาลหนึ่งกับเด็กเล็ก จนตอนเย็นครูก็มาคุยด้วยเพื่อตรวจสอบพื้นฐานความรู้ของผมอีกแล้วก็สรุปว่า ผมพอจะรู้จักตัวหนังสือกะเหรี่ยงบ้าง ดังนั้น ผมจึงควรไปเรียนชั้นอนุบาลสอง ป้ามารับตอนโรงเรียนเลิก ผมไม่ได้เล่าให้ป้าฟังเลยว่าวันนี้ผมถูกลดชั้นไปอนุบาลหนึ่งและพรุ่งนี้จะไปเรียนชั้นอนุบาลสอง ผมบอกป้าแต่ว่า ไปส่งผมหาพ่อกับแม่เถอะ ผมไม่รู้หนังสือเลยและผมควรจะกลับไปเรียนที่ป้อปาทะมากกว่า แต่ป้าไม่ว่าอะไรสักคำ วันรุ่งขึ้นแกบอกให้ผมเก็บเสื้อผ้าที่ขนมาจากบ้านไว้ แล้วเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ใส่ไปโรงเรียน ป้าเข้าไปคุยกับครูอีกที ผลปรากฎว่าผมถูกจัดให้ไปเรียนอนุบาลหนึ่งเหมือนเมื่อวาน แล้วตอนเย็นก็จะต้องไปเรียนพิเศษที่บ้านของครูทุกวัน ผ่านไปเกือบสองเดือน พ่อกับแม่ผมก็มาเยี่ยม ผมดีใจมาก ไม่ยอมอยู่ห่างพวกเขาเลย ไม่ยอมไปเรียนหนังสือด้วย ใครจะว่ายังไงก็ไม่ฟัง พอพ่อแม่บอกว่าจะกลับ ผมก็ร้องไห้จะตามกลับ จนในที่สุดพวกเขาก็หลอกว่าจะเดินไปบ้านคนรู้จักเดี๋ยวเดียว แล้วก็หายกลับบ้านไป ผมแอบร้องไห้อยู่คนเดียวหลายวัน คิดว่าพ่อแม่ไม่รักผมถึงได้เอาผมมาปล่อยไว้แบบนี้ พ่อแม่ไม่สงสารผมเลยที่ผมต้องมาอยู่อย่างอับอายที่นี่ ผมคิดเคียดแค้นตามประสาเด็กว่า คอยดูเถอะ ถ้าเรียนจบออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ผมจะไม่ไปช่วยงานพ่อแม่เด็ดขาด …
เพราะการสู้รบที่ชายแดนประเทศพม่าเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ผมต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่และหยุดงานสอนหนังสือ โรงเรียนเก่าของผมถูกยึดและแปลงสภาพไปเป็นที่พักทหาร นักเรียนเก่าของผมกระจัดกระจายกันไปในฝั่งไทยและฝั่งพม่า ตัวผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลลูกเล็ก ๆ ทั้งสามอยู่เงียบ ๆ เพื่อนหลายคนทะยอยโทรศัพท์มาหา ไถ่ถามว่าผมทำงานอะไรอยู่ เมื่อตอบไปว่าผมอยู่บ้านช่วยภรรยาเลี้ยงลูก …
“เป็นยังไงมั่งแล้วหือ ไอ้หลานชาย ที่นั่นเป็นยังไง เอ็งจะกลับมาถึงเมื่อไหร่ รู้มั้ยวันก่อนน้าสาวกับน้าเขยของเอ็งนั่งรถหนีน้ำกลับมาหมดไปคนละห้าพัน แล้วยังโชคร้ายถูกจับส่งตัวไปที่ฝั่งพม่า ถูกหน่วยรักษาชายแดน (กองกำลังดีเคบีเอเดิม) เรียกคนละสองพันห้า เท่านั้้นยังไม่พอ …
Voices of TNR victims No.1 (Perceptions towards TNR) “การใช้ชีวิตในประเทศไทย เราต้องระมัดระวังอยู่เสมอ; …
แสงสว่างยามรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเสียงนกที่แว่วดังขึ้นเป็นจังหวะ เสียงไก่ที่กำลังขัน แสดงสัญญาณว่าเช้าวันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เด็กหนุ่มค่อยๆลืมเปลือกตาขึ้นสัมผัสกับแสงแดดที่ส่องเข้ามา พลางลุกจากที่นอนและเดินออกไปสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์ “ตื่นแล้วเหรอซอเล อรุณสวัสดิ์จ้ะ” เสียงแม่กล่าวทักทายยามเช้า “ครับ เช้านี้อากาศดีจังเลยนะแม่” …
รถแล่นอยู่บนถนนเส้นทางหนึ่ง มันเป็นถนนเปลี่ยว มีป่าไม้อยู่ตลอดข้างทางที่เอวาขับผ่านมา ไร้การสัญจรของรถคันอื่น มีเพียงแค่รถกระบะสีดำของเอวาเท่านั้นในตอนนี้ เธอขับออกจากสถานที่ที่ตั้งเต็นท์ก่อกองไฟรับลมหนาวมาได้ราวสองชั่วโมง เอวาเหลือบมองหน้าปัดรถ ไฟเตือนน้ำมันได้สว่างวาบ เข็มแสดงปริมาณน้ำมันชี้ไปที่เลขศูนย์ เอวาเลี้ยวเข้าข้างทาง …