ความเปลี่ยนแปลงอันผิดลำดับขั้นตอน

ความเปลี่ยนแปลงอันผิดลำดับขั้นตอน

| | Share

ในวันที่จักรวาลและธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างปกติสุข วันนั้นเราก็มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข แต่ในวันที่จักรวาลและธรรมชาติดำเนินไปอย่างผิดแผกแตกต่าง เราก็ทุกข์ยากกับภัยพิบัติและความหายนะ

พี่น้องเอย ธรรมชาติรอบตัวได้รับการสรรค์สร้างขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ … ผมเชื่อเช่นนั้น ใครสัก คนหรืออำนาจที่ยิ่งใหญ่บางสิ่งเป็นผู้สร้างให้ธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับขั้นตอนเหมือนมีการ วางแผนไว้ล่วงหน้าเสมอ

ผมเติบโตขึ้นที่ปากน้ำ มณฑลอิระวดีทางภาคตะวันตกของประเทศพม่า หมู่บ้านของผมอยู่ปลายน้ำ ติดทะเล ชาวบ้านซึ่งเป็นปกาเกอะญอเลี้ยงชีพด้วยการจับกุ้งปูปลาและทำนาข้าว ปากน้ำคือสายสะดือจุด กำเนิดของเรา แม่น้ำเปี้ยะเมอะลอคือหม้อข้าวที่เลี้ยงเรา ที่ปากน้ำแถวบ้านผมมีป่าชายเลนอยู่ ผืนดินตรงนั้น มีน้ำขึ้นน้ำลงตลอดเวลา พื้นที่ป่าที่ว่านี้ค่อย ๆ เล็กแคบลง จนแทบไม่เหลือเมื่อผมโตขึ้น

ที่โรงเรียน ครูสอนว่าเราต้องไม่ทำลายป่า รัฐบาลมีกฎหมายห้ามตัดไม้และยังติดป้ายประกาศไว้ที่ป่า ด้วยว่า “ตัดไม้หนึ่งต้น จำคุกสามปี ปลูกคืนสามปี” อันที่จริงมีกฎหมายอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอีก เช่น ห้ามคนจับปลาไม่ให้ใช้อวนตาถี่ เป็นต้น ผมเชื่อที่ครูสอนและชาวบ้านก็ปฏิบัติตามเพราะกลัวถูกจับ แต่คนที่มี เงินมีเส้นสายกับเจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้อวนตาถี่ขนาดช้อนไข่ปลามายังได้ พวกเขามารอจับปลาในฤดูวางไข่ที่ปาก แม่น้ำ จนปลาไม่สามารถขึ้นมาวางไข่ และแม่น้ำของเราก็มีปลาลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ พอผมโตขึ้นอีกนิด รัฐบาลอนุญาตให้กองกำลังว้าที่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลมาทำธุรกิจในพื้นที่ด้วย ผู้มีอำนาจว้านี้มาจากทาง ภาคเหนือในรัฐฉาน เขาเป็นเศรษฐีร่ำรวยในขณะที่ชาวบ้านว้ายังยากจนอยู่ สัญญาการทำธุรกิจที่ว่านี้ปล่อย เขาทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ป่าสงวนกว่าพันเอเคอร์แถบบ้านผมถูกซื้อและจุดไฟเผาจนโล่ง เพื่อขุดนากุ้งนาเกลือ ผมนึกอยากมีนากุ้งกับเขาบ้างเพราะเห็นใครได้เป็นเจ้าของก็มีแต่รวยขึ้นทุกคน แต่มันก็ เป็นไปไม่ได้สำหรับชาวบ้านอย่างเรา

ตอนเด็ก ๆ เรื่องเล่าของแม่ที่ทำให้ผมอุ่นใจจนหลับสบายก็คือ “เมื่อตอนแม่ยังเด็ก” แม่บอกว่าสมัย ก่อนนั้นแม่ไปหากุ้งหาปลาเพียงไม่กี่อึดใจ กุ้งปลาก็เต็มมือจนกินกันทั้งบ้านไม่หมดทีเดียว “เนื้อปลาสมัยก่อน หวานอร่อยมากนะ หัวกุ้งแม่น้ำก็มีมันมากเสียจนเราจนคลุกข้าวกินได้หลายจานเชียวละ กุ้งแต่ละตัวที่แม่จับ ได้น่ะ ตัวโตจนกินคนเดียวไม่ไหวด้วยซ้ำ ลูกเอ๋ย”

ผมนึกอยู่ในใจว่า โอ้โห… ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมจะกินให้อิ่มพุงกางเลย ผมอยากกลับไปอยู่ในสมัยแม่ยังเด็กจริง ๆ แต่บางทีผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าแม่เล่าเรื่องจริง มันอาจ

เป็นเพียงนิทานต่อเติมเสริมแต่งให้ผมฟังเพลิน ๆ ก็ได้ เพราะแม่ยังเล่าอีกว่า เมื่อก่อนแถวบ้านเราเป็นป่า มี สัตว์ป่ามากมาย เช่น เสือ หมูป่า หมี ชะนี งูเหลือม ตัวนิ่ม และยังมีตะกวดกับจระเข้ในน้ำด้วย ถึงตรงนี้ผมก็ รีบแทรกมาว่า “แม่จ๋า จริง ๆ หรือ แม่หลอกเล่นหรือเปล่า” แม่ก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ไม่เชื่อก็ไปถามคุณตาดูสิ”

ผมอายุได้ 23 ปีแล้ว ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นอะไรที่แม่เล่าสักอย่าง สถานที่ที่แม่ว่าเคยเป็นป่า อุดมไปด้วยสัตว์ ตอนนี้ก็คือนากุ้งและฝาย ผมไม่เคยเห็นกุ้งตัวโต ๆ เลย กุ้งตัวโตสักหน่อยที่คนพอจับได้ก็ ไม่มีใครกล้ากินเพราะมันราคาแพงมาก น่าจะเอาไปขายมากกว่า ขายแล้วมันคงไปตามร้านอาหารของคนรวย ๆ สักแห่ง

ไม่กี่ปีก่อนที่ตาจะจากไป ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นแล้ว ตามาเรียกผมไปเที่ยวป่าชายเลนที่ปากน้ำ แก เดินนำผมลงไปในป่าที่โคลนสูงถึงต้นขา แล้วก็ง่วนปลูกต้นไม้สารพัดจนผมเห็นแล้วเหนื่อยแทน ตาจะมาปลูก ป่าเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่นี้อีกทำไม ในเมื่อแม้แต่รัฐบาลก็ไม่เห็นจะสนใจ ปล่อยให้ป่าหายไปเกือบหมดแล้ว ผมจึง บ่นออกไปว่า “ตา แก่แล้วมาเหนื่อยทำไม ไม่มีใครจ้างซักหน่อย ดูสิ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ตาทำไปทำไม กัน ตาเหนื่อยมามากแล้วนะ กลับไปพักผ่อนอยู่บ้านดีกว่า”

“อื้มม…. ข้าจะทำไปทำไมน่ะรึ.. ทำเพราะว่าข้าหวังให้ลูกหลานจะได้มีที่อยู่ที่กินยังไงล่ะ เอ็งจำไว้ หลานเอ๋ย สิ่งใดที่เราต้องพึ่งพา เราต้องดูแลรักษา เราหากินอยู่ริมน้ำ เราต้องดูแลน้ำ บ้านเราอยู่ปากน้ำ เรา ต้องดูแลแผ่นดิน ถ้าเราไม่ปลูกโกงกาง ถ้าป่าชายเลนหายไป น้ำจะเซาะดินจนไม่เหลือผืนดินให้เอ็งอยู่ ลมจะ มาพัดเอาบ้านของเอ็งไปเวลามีพายุพัดจากทะเล เอ็งจงรักษาสิ่งที่อยู่กับเอ็งไว้ให้ดี”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ตาจึงว่า “เมื่อถึงเวลา เอ็งจะเข้าใจเอง” แล้วผมก็เริ่มเข้าใจหลังจากตาจากผมไปได้ปีหนึ่ง ในต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 สายลมที่พัดเอื่อย

ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นในตอนบ่าย พอตกเย็นที่ปกติเป็นช่วงน้ำลด ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงลมอื้ออึง เสียงน้ำ ดังฮู ๆๆ น้ำทะเลหนุนน้ำในแม่น้ำให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นคลื่นสูงกว่าบ้านทั้งหลังก็พัดเข้ามา ต้นไม้ล้ม ระเนระนาด บ้านพังครืน

ท่ามกลางความมืด เหมือนลมจะพัดเข้ามาทั้งสี่ทิศ ไม่มีใครเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นชัดเจน มีแต่เสียงลม เสียงครืน ครืนของน้ำ เสียงทุกสิ่งที่ล้มลงพังทลาย เสียงหลังคาบ้านปลิวไปกระทบกับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังจะโค่น เสียงคนร้องไห้ เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เสียงเด็กร้องไห้จ้า น้ำเชี่ยวท่วมสูงอย่างรวดเร็วจนมิดหัว ใคร พอว่ายน้ำได้ก็ว่าย ใครหาที่ยึดเกาะได้ก็ยึด ใครหนีทันก็หนีขึ้นโบสถ์ที่แข็งแรงบนเนินสูง

รุ่งเช้า หมู่บ้านของเราก็หายไป เหลือแต่กองขยะ เศษไม้ ศพคนและสัตว์ สิ่งที่พอจะบอกได้ว่าที่นี่เคย เป็นหมู่บ้านคือโบสถ์ปูนบนเนินสูงหลังเดียว ชาวบ้านตายไป 260 คนจากทั้งหมด 700 กว่าคน

เฮ้ย…เฮ้ย..เฮ้ย ผมอยากจะร้องตะโกนอย่างคุ้มคลั่ง นี่มันอะไรกัน ใครทำกับเราอย่างนี้ พระเจ้าหรือที่ บัญชาให้เกิดความหายนะกับเรา หรือใครทำอะไรผิดพลาดไปอย่างไร ธรรมชาติจึงได้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไปอย่างผิดพลาดอย่างนี้

แล้วผมก็นึกถึงตา …ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว… ผมอยากจะเขกหัวตัวเอง เสียงหนึ่งตอบผมในใจว่า “มนุษย์โลกนั่นแหละเป็นผู้กระทำกับตัวเอง”

เหตุเกิดที่หมู่บ้านของผมนั้นเหมือนกับ “ไฟลุก แล้วลมช่วยโหม” หมู่บ้านญาติผมถัดไปไม่ไกลนักได้ รับความเสียหายไม่มากเท่านี้ ไม่ได้ราบเป็นหน้ากลองหาบ้านสักหลังไม่เจอแบบนี้ ถ้าตาอยู่ แกคงอธิบายให้ ผมฟังได้ว่าป่าชายเลนที่นั่นทำหน้าที่ของมันอย่างไรเมื่อภัยมาเยือน ที่นั่นไม่มีการเผาป่าเป็นนากุ้งนาเกลือ

พี่น้องเอย หายนะที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่ความผิดพลาดของธรรมชาติ แต่เป็นเพราะมนุษย์เราไม่ เคารพการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับขั้นตอนของธรรมชาติ เราไม่เชื่อคำคนเฒ่าคนแก่ที่สอนเรา เรา กลืนกินธรรมชาติโดยไม่รักษา เรานั่นหมายถึงทั้งผมและคุณได้ในบางขณะ ตาผมบอกไว้แล้ว ว่าไม่ว่ารอบ ข้างเราจะทำอย่างไร ไม่ว่ารัฐบาลจะทำเช่นไร เราก็ยังมีหน้าที่ที่จะรักษาสิ่งที่อยู่กับเราอยู่นั่นเอง เราต้องไม่ ยอมเป็นอีกคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการฆ่าตัวตายนี้

วันนั้นธรรมชาติตะโกนบอกแก่มนุษย์ ผมอยากจะตะโกนต่อให้คนทั้งหลายรวมถึงผู้มีอำนาจใน ประเทศผมได้ยินด้วยว่า อย่าได้ทำลายอะไรอีกเลยนอกจากความโลภของคุณ ประเทศพม่าเราแต่ดั้งเดิมเรียก กันว่า “แผ่นดินสีเขียว” หรือมิใช่ จงคืนสีเขียวคืนให้แก่แผ่นดินเถิด

Related