ไม่มีใครคาดคิดว่าบ่ายวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2551 ลมพายุจะหอบเอาฝนห่าใหญ่มาตกที่หมู่บ้านของผม ยิ่งค่ำลมยิ่งพัดแรง ฝนยิ่งตกหนักและไม่มีท่าทีจะหยุดลงง่าย ๆ ต้นมะพร้าวที่ยืนต้นแข็งแกร่ง ถูกลมพายุพัดล้มระเนระนาด บ้านเรือนพังราบเหมือนถูกไฟเผา เพื่อนบ้านและสัตว์เลี้ยงถูกพายุหอบเอาชีวิตไปทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณเกลื่อนหมู่บ้าน พายุใหญ่นี้เหมือนกับเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ที่โลกถูกชำระล้างด้วยน้ำท่วมใหญ่ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะติดตรึงอยู่ในใจของคนในหมู่บ้านอย่างไม่มีวันลืม
ตั้งแต่ฝนเม็ดแรกจนพายุนาร์กิสสงบ พวกเราไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลทหารพม่า อาหารและน้ำขาดแคลน น้ำเค็มที่มากับพายุท่วมขังไร่นาจนเพาะปลูกไม่ได้ ผู้คนต่างดิ้นรนย้ายถิ่นเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อความหวังที่จะได้อยู่อาศัยและตายในแผ่นดินของตัวเองหมดลง ผมจึงต้องออกแสวงหาแผ่นดินใหม่ที่ผมจะมีชีวิตรอดและได้ใช้ชีวิตอย่างสันติ ในวันนั้นจุดหมายของผมคือค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
หลังพายุสงบ ผมพาหัวใจที่อ่อนล้าลงเรือนั่งรถเป็นทอด ๆ กว่าจะถึงเมืองไทยผมต้องผ่านด่านของเจ้าหน้าที่หลายจุด เพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันถูกจับส่งตัวกลับไปขังคุกในย่างกุ้งเพราะถูกสงสัยว่าเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับงานทางการเมือง มีแต่ผมคนเดียวที่รอดจากการจับกุมและเดินทางมาถึงจังหวัดเมียวดีได้ คืนแรกในเมียวดีผมนอนไม่หลับ เฝ้ามองไปยังแสงสีของเมืองแม่สอดที่อยู่อีกฝั่ง ของแม่น้ำเมย ที่นั่นช่างต่างกับเมียวดีที่มีเพียงแสงจากเสาไฟริมทางห่าง ๆ กัน ทั้งที่สองเมืองนี้ห่างกัน เพียงแค่แม่น้ำกั้น เหตุใดภาพที่ผมเห็นจึงดูเหมือนเป็นคนละโลก
เช้าวันต่อมาผมข้ามมายังฝั่งไทยเพื่อเดินทางไปยังค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ ตลอดการเดินทางจากแม่สอด ถึงค่ายผู้ลี้ภัยผมหลับไปตลอดทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าหรือเพราะพื้นผิวถนนที่ราบเรียบอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อน
การใช้ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในจินตนาการของผมนัก อาจเป็นเพราะผมเดินทางมาที่นี่คนเดียว ไม่มีเพื่อนหรือญาติมิตร ปัญหาแรกของผมคือเรื่องที่อยู่และอาหารที่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาจากไหน โชคดีที่มีคนพาผมไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ของค่ายผู้ลี้ภัย เพื่อรับความช่วยเหลือด้านอาหารและที่อยู่อาศัย
ระยะเวลา 1 เดือนที่ผมอยู่ที่นี่ ทำให้ผมรู้ว่าค่ายผู้ลี้ภัยไม่ต่างกับคุกหลังใหญ่ เราไม่มีสิทธิ์จะเดินทางออกไปทำมาหากิน ผมบอกตัวเองว่าที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินใหม่ที่ผมตามหา ผมจึงมองหาหนทางที่จะแสวงหาแผ่นดินแห่งสันติด้วยมือของผมเอง คิดได้ดังนั้นผมจึงกลับไปยังฝั่งพม่าอีกครั้ง เพื่อเป็นทหารในกองกำลังชาติพันธุ์เดียวกับผม แม้ชีวิตจะต้องจบลงในสนามรบแต่ถ้าการสู้รบนำมาซึ่งแผ่นดินที่สงบสุขผมก็ยินดี
การสู้รบครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ผมตระหนักว่าสิ่งที่ผมและเพื่อนทหารทำอยู่ไม่ใช่การสู้รบที่แท้จริง สำหรับผมการสู้รบที่แท้จริงทั้งสองฝ่ายต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลที่ทัดเทียมกัน แต่กองกำลังที่ผมสังกัดอยู่กลับมีอาวุธและจำนวนทหารน้อยกว่าทหารรัฐบาลพม่ามาก เมื่อมองไม่เห็นทางชนะ ผมจึงกลับมายังค่ายผู้ลี้ภัยอีกครั้ง เพื่อตามหาแผ่นดินแห่งสันติต่อไป
การกลับมาในครั้งนี้ผมได้พบกับเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เขาชักชวนผมมาเป็นครูสอนเด็ก ๆ ให้รับมือภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น ผมถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับพายุนาร์กิสที่พัดถล่มหมู่บ้านของผม เพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่าควรเตรียมตัวและเอาชีวิตรอดอย่างไร การทำประโยชน์ให้กับชุมชนเป็นความสุขที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน เมื่อจิตใจของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สายตาที่เคยมองค่ายผู้ลี้ภัยเหมือนคุกหลังใหญ่เริ่มเปลี่ยนไป
แผ่นดินแห่งสันติที่ผมตามหาอาจจะอยู่ไม่ไกลเลย
เผยแพร่ครั้งแรก เมษายน 2554