ในปี พ.ศ. 2540 หมู่บ้านของฉันต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้ายแรง ทหารกะเหรี่ยง ดีเคบีเอ* เข้ามาก่อความไม่สงบในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้เสียชีวิตรวม 3 คน ไม่เพียงเท่านั้นกองกำลัง ดีเคบีเอ กลุ่มนี้ยังเผาค่ายทหารพรานที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชุดใหม่ถูกย้ายมาแทนชุดเดิม คนกลุ่มใหม่นี้เข้าใจถึงความลำบากที่คนชายขอบอย่างพวกเราต้องพบเจอ โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงจากกองกำลัง ดีเคบีเอ และกองทัพพม่า เพราะพวกเขาเคยประจำการอยู่ชายแดนไทยตรงข้ามรัฐกะเรนนีมาแล้ว จึงเข้าใจความยากลำบากที่คนชายแดนต้องเผชิญ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ชุดนี้ยังมีชาวปกาเกอะญอ อยู่ด้วย พวกเขาจึงดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่ใช้ แม่น้ำสาละวินเป็นเส้นทางหลักอย่างดี
แต่ต่อมาไม่นาน ก็มีการผลัดเปลี่ยนชุดประจำการอีกครั้ง คราวนี้ เจ้าหน้าที่ชุดใหม่ปฏิบัติกับชาวบ้านแตกต่างกับชุดเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเราถูกจำกัดสิทธิในการประกอบอาชีพ ทั้งการขับเรือและรถรับส่งผู้โดยสารทั้งสองฝั่ง แต่ละคนไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และวิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่ชาวบ้านมักข้ามฝั่งแม่น้ำสาละวินไปทำการเกษตร และล่าสัตว์ ตอนนี้ก็ไปไม่ได้แล้ว บางคนแอบข้ามไปแล้วนำเพียงแค่เปลาแห้งเนื้อแห้งติดมือกลับมาฝากลูกเมีย ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ต่าง ๆ นานา ซ้ำยังเก็บเอาเนื้อแห้ง ปลาแห้งไว้กินเอง
พวกเราถูกจำกัดสิทธิแม้กระทั่งการทำมาค้าขายกับหมู่บ้านไทยด้วยกัน เรื่องนี้ฉันได้พบกับตัวเอง วันนั้นฉันต้องการใช้น้ำตาลทรายจำนวนมาก จึงต้องเดินทางไปซื้อที่หมู่บ้านข้างเคียงซึ่งมีตลาดชายแดน แต่เจ้าหน้าที่กลับจำกัดให้ซื้อน้ำตาลทรายได้คนละแค่ 1-2 กิโลกรัม โดยให้เหตุผลว่า กลัวว่าน้ำตาลเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นเชื้อระเบิด ฉันจึงต้องรวบรวมคนถึง 3 คนไปซื้อ ถึงจะได้น้ำตาลทรายเพียงพอตามต้องการ ไม่เพียงแต่น้ำตาลอย่างเดียว ทั้งเปล เสื้อผ้า รวมถึงเครื่องดำรงชีพเวลาเราเข้าป่า ก็เป็นสินค้าที่ถูกห้ามซื้อขายอย่างอิสระ หากมีชาวบ้านจำเป็นต้องใช้ข้าวของเหล่านี้ ก็สามารถซื้อได้เพียงคนละ 1 ชิ้นเท่านั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่กลัวว่าสิ่งของเหล่านี้จะถูกส่งให้กับกองกำลัง เคเอ็นยู** เรื่องนี้ส่งผลกระทบถึงคนที่ทำมาค้าขาย พวกเขาไม่สามารถเข้าเมืองมาซื้อของครั้งละมาก ๆ ได้ ถึงมาซื้อของบ่อย ๆ ก็ไม่คุ้มค่าเรือ สินค้าในหมู่บ้านจึงราคาสูงขึ้นจนพวกเราหลายคนไม่สามารถซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นเคย
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ชุดหลังนี้มีความคิดเห็นแตกต่างจากชุดแรกมาก อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ชุดแรกเคยรับรู้ถึงความทุกข์ยากของคนชายขอบที่ถูกกองทัพพม่ากดขี่ข่มเหงมาก่อน แต่เจ้าหน้าที่ชุดใหม่นั้นมีทัศนคติว่าคนปกาเกอะญอเป็นคนไม่ดีที่ไปต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า จึงปฏิบัติกับคนปกาเกอะญอทั้งสองฝั่งอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากคนในหมู่บ้าน ผู้ลี้ภัยก็ได้รับผลกระทบกับทัศนคติที่มองคนปกาเกอะญอในแง่ลบของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายปกาเกอะญอบางคน ก็มองว่าชีวิตของผู้ลี้ภัยไร้ค่า เป็นเหมือนไก่แจ้ ไก่ขุน ที่พอถึงเวลาให้ข้าวให้น้ำ ก็มีคนมาให้ โดยไม่เคยมองว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก็คือคนปกาเกอะญอเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาถูกกดขี่ข่มเหงจึงต้องหลบลี้หนีมาประเทศไทยเท่านั้น
ฉันเคยได้ยินเจ้าหน้าที่บางคนพูดกับผู้ลี้ภัยว่า “พวกแกไม่ต้องเดินทางไปไหน ๆ หรอก อะไรที่จำเป็นก็มีคนนำมาแจกให้หมดแล้ว” แต่ในความเป็นจริง สิ่งของที่ได้รับแจกไม่เพียงพอกับความต้องการของคนที่ได้รับ ต่างคนต่างก็ต้องพยายามขวนขวายช่วยตัวเองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่จะพยายามอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังอย่างไร พวกเขาก็ไม่เข้าใจและไม่ให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานนอกค่าย
นอกจากเรื่องการเดินทาง ผู้ลี้ภัยยังประสบกับการประพฤติตัวไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ ครั้งหนึ่งเคยมีหญิงที่แต่งงานแล้วในค่ายผู้ลี้ภัยแม่กองคาออกมาทำธุระริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน แล้วพบกับเจ้าหน้าที่ไทยเชื้อสายปกาเกอะญอคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจาหยอกล้อหวังจะแสวงหาประโยชน์จากความเป็นผู้หญิงของเธอ ฉันซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยจึงเข้าไปบอกกับเจ้าหน้าที่คนนั้นตรง ๆ ว่า ในเมื่อคุณเป็นคนปกาเกอะญอเหมือนกัน ก็ไม่ควรทำแบบนี้ ลองคิดดู หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ ลูกสาว พี่สาว น้องสาว หรือแม่ของคุณจะเป็นยังไง เขากลับตอบว่า “ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยไม่ดีในเรื่องชู้สาวอยู่แล้ว” แม้จะรู้ว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวหาฝ่ายหญิงเพื่อให้ตนพ้นผิด แต่ฉันก็ทำได้เพียงบอกเขาว่า ในเมื่อเราเป็นคนปกาเกอะญอ เหมือนกัน ถ้าเห็นพี่น้องทำไม่ดีก็ควรว่ากล่าวตักเตือน ส่งเสริมให้เขาเดินในทางที่ถูกที่ควรไม่ใช่เหรอ
ที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดมาเพราะฉันอยากจะบอกกับชาวปกาเกอะญอ ทั้งที่อยู่ในฝั่งประเทศไทยและฝั่งพม่า ว่าเราก็เป็นคนปกาเกอะญอเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับอำนาจจากหน่วยงานไหนก็ตาม คุณก็ไม่ควรที่จะใช้อำนาจนั้นรังแกกันเอง เพราะอย่างไรเราก็เป็นคนปกาเกอะญอเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนเราก็ต่างถูกข่มเหงจากผู้ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดเหมือนกัน ความสามัคคีเท่านั้นที่จะทำให้เราต่อสู้กับคนที่มาข่มเหงเราได้