หญิงสาวจากค่ายพักผู้พลัดถิ่นในรัฐกะเรนนี
เรากลับมาจากฝั่งไทยได้สองเดือนกว่าแล้ว แต่หลังจากที่เครื่องบินกองทัพพม่ามาทิ้งระเบิดคราวนั้น การสู้รบทางด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวินก็ไม่เคยเงียบเสียง เสียงปืนเล็กเป็นเรื่องปกติที่คนในค่ายจะได้ยิน และเมื่อไรที่มีเสียงปืนใหญ่ พวกเราก็จะหนีลงไปหลบอยู่ในบังเกอร์ ดีที่คนแก่ส่วนหนึ่งได้เข้าไปนอนในฝั่งไทยแล้ว การจะวิ่งหนีไปจึงมีห่วงน้อยลง และหนีได้เร็ว
ฉันยังกลัวอยู่กับเสียงพวกนี้นะ แต่ไม่ถึงกับใจสั่นมื้อเท้าเย็นทำอะไรไม่ถูกแบบคราวก่อน ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่มีใครวิ่งเข้าฝั่งไทยแล้ว เราจะส่งแต่คนแก่และเด็กเล็กเข้าไปเท่านั้น นี่คือทางปฏิบัติของเราตอนนี้
ค่ายพักของเราจัดการเป็นระเบียบขึ้นกว่าตอนแรก เพราะมีคนรวมกันแล้วก็สองพันกว่า ๆ ชาวบ้านยังค่อย ๆ ทะยอยมาสมทบเราที่ชายแดน แต่ก็มาถึงได้ทีละน้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะข้ามแม่น้ำสาละวินและเดินทางมาจนถึง คนจำนวนมากจึงติดอยู่ข้างใน หรือตัดสินใจอยู่กันตามค่ายพักใหญ่ ๆ ที่มีอยู่หลายแห่งในอ.เดมอโซและพรูโซ
น้ำกำลังเป็นปัญหาสำคัญของทุกที่ ผู้พลัดถิ่นไม่ว่าจะอยู่กันเป็นค่ายพักใหญ่ หรือหลบอยู่ตามป่า ก็เข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดได้ยากอยู่แล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา มีคนที่เจ็บป่วยเพราะน้ำไม่สะอาดเยอะมาก ถึงตอนนี้ น้ำหาได้ยาก น้ำภูเขาเริ่มแห้ง ที่ค่ายของเราก็เหมือนกัน ตลอดเดือนที่ผ่านมา ไม่มีน้ำใกล้ ๆ ที่พักแล้ว เราต้องตื่นออกเดินกันตั้งแต่ตีสาม เพื่อเดินไปบ่อน้ำในหมู่บ้านกะยาห์ที่ชายแดน และแบกน้ำจากนั่นกลับมาบนเส้นทางราว ๆ หนึ่งชั่วโมงเดิน ถ้าหากเราไปสาย น้ำก็จะขุ่นจนใช้ดื่มกินไม่ได้ ถ้าเราตื่นสาย วันนั้นคือไม่มีน้ำใช้อาบ ล้าง กิน
เมื่อวานนี้ ครบรอบหนึ่งปีเต็มที่ฉันจากบ้านมาและกลายเป็นคนพลัดถิ่นอีกครั้ง ฉันต้องหนีในตอนเด็กและวันนี้ก็หนีอยู่ ถึงตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า เราคงต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน และทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากชะตากรรมแบบนี้ได้ ก็คือการตั้งใจทำงานเพื่อรัฐและประชาชนของฉัน
29 มีนาคม 2565
ภาพประกอบ : การตักน้ำยามสายและก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แหล่งน้ำที่แห้งผาก บังเกอร์ และการหลบภัยยามเสียงระเบิดใหญ่มา โดย ชาวบ้านกะเรนนี