ไม่เป็นไร บทความเสียงชาวบ้าน โดย สุแมโกล เขียนไว้เมื่อปี 2554
แสงแดดที่ส่องมาเป็นสัญญาณบอกว่ารุ่งเช้าได้มาถึงแล้ว ทาเสอะยื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกแบบตะวันตก ในมือยังถือข่าวการเสียชีวิตของทหารกะเหรี่ยงที่ได้อุทิศตนสู้รบอยู่ในแนวหน้าค้างไว้แต่เนิ่นนานเท่าใดก็ไม่รู้ เรื่องราวในอดีตหวนกลับเข้ามาสู่ภวังค์ ข่าวคราวของซอแอ้โด้ทำให้หัวใจของเธอสลาย แต่เมื่อบอกใบหน้าของเขาในภาพข่าวนั้น เธอก็อดอิ่มเอิบภาคภูมิอย่างเศร้าสร้อยไปเสียไม่ได้
ทาเสอะยื่อและซอแอ้โด้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันตั้งแต่เด็ก เมื่อเริ่มย่างเข้าวัยรุ่นและไปเรียนหนังสือต่อด้วยกันในเมือง หัวใจของทั้งสองคนก็เริ่มรู้สึกแตกต่าง นี่มิใช่เพียงมิตรภาพระหว่างเพื่อนนักเรียนหรือความรักฉันพี่น้องเสียแล้ว อย่างไรก็ดี ความรักนั้นยังไม่ทันเบ่งบาน ทั้งคู่ก็ได้ข่าวร้ายจากหมู่บ้าน ทหารกองทัพพม่าได้เข้ามาในหมู่บ้านด้วยสงสัยว่าชาวบ้านเป็นผู้สนับสนุนกองกำลังกะเหรี่ยงปฏิวัติ หลายคนถูกจับตัวไปสอบสวน หลายคนก็สูญเสียบ้านและยุ้งข้าวเมื่อทหารเผามันทิ้งอย่างเคียดแค้น พ่อของซอแอ้โด้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านรับเคราะห์รุนแรงกว่าคนอื่น ทั้งเขาและภรรยาถูกสังหารทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ส่วนลุงของทาเสอะยื่อก็ถูกจับไปสอบสวนและทรมานจนเสียชีวิตไปเช่นกัน
เด็กหนุ่มสาวทั้งคู่กลับมาถึงหมู่บ้าน ซอแอ้โด้เห็นศพพ่อและแม่ ร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดและเหือดแห้งไปในที่สุดพร้อมกับความฝันงดงามถึงอนาคต ส่วนพ่อของทาเสอะยื่อรีบเก็บข้าวของพาครอบครัวหนีมายังค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยเพราะกลัวจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเหยื่อรายต่อไป ชาวบ้านหลายครอบครัวมาด้วยกัน แต่ซอแอ้โด้ปฏิเสธ เขาหันเข้าร่วมกองกำลังกะเหรี่ยงปฏิวัติอย่างเต็มตัว และสมัครไปแนวหน้า ทาเสอะยื่อไร้คำทัดทาน เธอตื่นตระหนกกับสถานการณ์จนไร้คำพูด
ทาเสอะยื่อมาเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัย เธอได้แต่ตั้งมั่นว่า แม้ฉันจะเป็นหญิง ฉันจะต้องช่วยเหลือประชาชนของฉันให้มีเสรีภาพให้ได้ ฉันจะพยายามแสวงหาความรู้ไปช่วยเหลือพวกเขา แต่ละวันเธอเฝ้าอธิษฐานถึงซอแอ้โด้และญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในพื้นที่สงคราม จนในวันหนึ่งเธอได้รู้หนทางที่จะฝากจดหมายไปถึงซอแอ้โด้ที่แนวหน้า และเขาก็ตอบเธอกลับมา จดหมายของทั้งสองเดินทางไปมานาน ๆ ครั้ง ความรักเหมือนจะเบ่งบาน แต่อย่างเหงาหงอยเศร้าสร้อย และเป็นฝันมากกว่าจริง เพราะทั้งคู่ไม่เคยมีโอกาสพบกันเลย
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ทาเสอะยื่อก็ไม่ใช่สาวรุ่นอีกต่อไป ชายหนุ่มหลายคนหลงใหลในรัศมีอันเปล่งประกายเจิดจ้าของเธอ แต่สายตาของทาเสอะยื่อเพียงอยู่กับกองหนังสือ และใจของเธออยู่ที่นายทหารชื่อซอแอ้โด้คนนั้น เธอเรียนจบมัธยมปลายและระดับวิทยาลัยในค่าย และเริ่มทำงานสอนหนังสือ ในระยะเวลาอันสั้น ทาเสอะยื่อได้เป็นครูใหญ่ เพราะครูใหญ่ผู้ชราคนเก่าได้ลาออกเพื่อเตรียมตัวไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในต่างประเทศ และครูที่มีคุณสมบัติก็มีน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ทาเสอะยื่อก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรขาดหาย สิ่งที่เธอรู้และทำได้อยู่ทุกวันนี้ยังไม่เพียงพอ เธอยังต้องการที่จะรู้มากกว่านี้ และทำมากกว่านี้
หลังจากการปรึกษากับพ่อแม่ ถกเถียงพูดคุยกันอยู่หลายเดือน ทาเสอะยื่อก็ตัดสินใจสมัครไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศเหมือนคนอื่น ๆ มีชาวต่างประเทศจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเธอ และเธอหวังว่านี่จะคือโอกาสที่จะทำตามความฝัน
ขั้นตอนก่อนจะไปต่างประเทศนั้นยาวนาน และเธอก็จะอยู่สอนหนังสือจนถึงวันสุดท้าย วันหนึ่ง ในระหว่างพักเที่ยงที่โรงเรียน นักเรียนวิ่งเข้ามาบอกว่ามีแขกมาหา และเธอก็ถามไปว่า “ใครหรือ”
“นายทหารคนหนึ่ง”
ใจทาเสอะยื่อเต้นแรง ใครเล่า นายทหารคนนั้น “ให้เขาเข้ามาสิ”
“สวัสดีครับ ครู” เขาคือซอแอ้โด้ คนที่เธอรอคอยอยู่อย่างเงียบ ๆ
“โอ…” ทาเสอะยื่อตะกุกตะกักและไม่รู้ว่าจะบอกอะไรไปได้มากกว่าเธอดีใจเหลือเกิน
“ยายหนูทา ฉันจะไปหาเธอที่บ้าน แต่รอไม่ไหว เลยมาที่โรงเรียนเสียเลย”
“แต่ยังไงเราก็จะไปคุยกันที่บ้านต่อใช่ไหม” เธอดีใจเหมือนเด็ก ๆ “ฉันอยู่ที่นี่มีเพื่อนมากมาย แต่ไม่มีใครเหมือนเธอ ไม่มีใครที่ฉันจะคุยเรื่องเก่า ๆ ด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หมู่บ้านหรืออะไร ๆ ที่เราเจอมาด้วยกัน เธอรอฉันที่บ้านนะ ตอนนี้ฉันต้องเข้าสอนแล้ว มาจริง ๆ นะ มานะ นายทหาร” เธอพูดคำสุดท้ายแล้วหัวเราะคิกคักกับคำเรียกที่ไม่คุ้นปาก
“ได้สิครับ ครูใหญ่” เขาก็หัวเราะเช่นกัน
เย็นวันนั้น ซอแอ้โด้มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวของทาเสอะยื่อ แล้วทุกคนก็ปล่อยให้หนุ่มสาวได้คุยกันตามลำพัง
“ยายหนูทา ฉันดีใจจริงที่เธอเป็นครู ทำประโยชน์ให้กับชนชาติเรา”
“ฉันก็ดีใจที่เธอเป็นนายทหาร ฉันขอเป็นกำลังใจให้เธอ”
“ทาเสอะยื่อ ฉันอยากจะบอกอะไรเธอตรง ๆ สักอย่าง” ซอแอ้โด้เริ่ม “ฉันรู้ตัวว่ารักเธอมานานแล้ว และตอนนี้เราก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ถ้าเธอเห็นด้วย เราจะแต่งงานกัน แล้วช่วยกันทำงานเพื่อเพื่อนร่วมชาติของเราต่อไป”
ทาเสอะยื่อนิ่งเงียบ ก่อนที่จะตะกุกตะกักออกมา “ฉันรู้มานานแล้ว เรื่องที่เธอบอกฉันน่ะ” เธอว่า “ฉันเฝ้ารอให้เธอพูดมันออกมา เพราะฉันก็คิดอย่างเดียวกับเธอ… แต่ว่า”
“แต่ อะไร ? หรือว่าฉันช้าไป…”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่สำหรับฉัน การเป็นครูก็เหมือนไม่พอ ยังมีความรู้อีกมากมายที่ฉันต้องเรียนรู้ ฉันเชื่อว่ายังมีอีกมากมายที่ฉันต้องทำได้ ถ้าหากว่าฉันมีโอกาสมากกว่านี้ ฉันอยากจะให้เวลากับการศึกษาก่อนสร้างครอบครัว” เธอถอนใจเมื่อเห็นซอแอ้โด้ทำหน้าสับสน “ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ความรักของฉันมอบให้เธอมานานแล้ว และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ความรู้ที่ฉันต้องการจะเป็นเพื่อประชาชนและลูกหลานของเรานะ แล้ววันหนึ่งฉันจะกลับมา แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“อือม์ ครูใหญ่คงพูดถูก ฉันเถียงไม่ได้หรอก ฉันเป็นทหาร เข้าใจแต่เรื่องการสู้รบเท่านั้น” เขาก้มหน้า และแตะมือของเธอ “ถ้าฉันไม่เห็นด้วยกับเธอ ก็คงหมายความว่าฉันเป็นปฏิปักษ์กับความก้าวหน้าของชนชาติใช่ไหม แต่ขอให้รู้นะ ว่าฉันจะรอเธอ”
ทาเสอะยื่อปล่อยให้ซอแอ้โด้โอบกอดเธอไว้กับอก ดวงจันทร์วันเพ็ญและหมู่ดาวบนฟ้ามองลงมาอย่างอ่อนโยน
แล้วทาเสอะยื่อก็เดินทางไปต่างประเทศ แม้ทุกอย่างจะไม่ได้เป็นดังฝัน เธอก็ได้เข้าเรียนหนังสือ เริ่มจากเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม จนได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แล้วเธอกับซอแอ้โด้ก็ติดต่อกันน้อยลง ห่างลง จนข่าวคราวเงียบหาย วันเวลาแต่ละปีผ่านเลย ทาเสอะยื่อเรียนและทำงานไปด้วย แต่เธอยังเรียนไม่จบ และยังไม่มีเงินที่จะเดินทางมาเยี่ยมเยียนพ่อกับแม่ดังหวัง
แล้วเมื่อวานนี้ ทาเสอะยื่อก็ได้รับข่าวจากแม่ของเธอ ภาพข่าวการสู้รบของกองกำลังกะเหรี่ยงปฏิวัติในแนวหน้า ประกอบด้วยภาพและรายชื่อผู้เสียชีวิต มีนายทหารหนุ่มที่ชื่อซอ แอ้โด้ อายุ 28 ปี แม่บอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกเธอเพราะกลัวว่าจะไม่สบายใจ
เขื่อนน้ำตาของทาเสอะยื่อพังทลาย อาบใบหน้าและหัวใจของเธอ เราจากกันชั่วชีวิตแล้วใช่ไหม หัวใจของเธอแทบจะสลาย แต่ไม่เป็นไรใช่ไหม หากทั้งหมดเป็นเพราะเราได้ตั้งใจทำเพื่อประชาชนของเรา
ภาพประกอบ จากนิตยสารเพื่อนไร้พรมแดน
เสียงชาวบ้าน คือกลุ่มนักเขียนอิสระที่เป็นผู้ลี้ภัยและชนเผ่าพื้นเมืองชาวปกาเกอะญอ พวกเขาตั้งใจถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อประเพณี และเรื่องราวอีกมากมายผ่านบทความ บทกวี และภาพถ่าย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม