เสียงจากเยาวชนกะเรนนี (3)

เสียงจากเยาวชนกะเรนนี (3)

| | Share

เสียงจากเยาวชนกะเรนนี (3)

“พอเริ่มมีการสู้รบขึ้นที่หมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนก็อพยพไปหลบอยู่ในป่า ไม่มีใครอยากอยู่อย่างนั้น จริง ๆ แล้วครอบครัวของหนูก็อยากมาที่ชายแดนด้วยกันทุกคน แต่หมู่บ้านของเรามีกฎอยู่ว่า ถ้าบ้านไหนอพยพออกไปชายแดนหมดแล้วทั้งบ้าน ทั้งที่ทำกินและบ้านก็ถือว่าไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป จะตกเป็นของหมู่บ้านหรือคนอื่นมาอยู่ก็ได้ และเขาก็จะกลับไปอยู่ที่นั่นไม่ได้อีก พ่อแม่ของหนูก็เลยกลัวว่า ถ้าพวกเราจะหนีไปกันหมด แล้วที่ค่ายฯเขาไม่รับ หรือเราอยู่ไม่ไหว เราก็จะไม่มีที่ไหนจะไปอีกแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจให้หนูกับพี่ชายมาด้วยกันสองคน

พ่อกับแม่บอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนต้องไปให้ถึงชายแดนและหาทางเรียนหนังสือต่อให้ได้ นี่คือเป้าหมายของเขา 

เราสองคนพี่น้องออกเดินทางมากันตามลำพัง 7 วัน ไม่มีพ่อแม่ เราช่วยกันแบกของ หุงหาอาหาร หาที่นอนตอนกลางคืน พี่ให้หนูแบกแค่ข้าวของส่วนตัวของหนู ส่วนเขาแบกของใช้ของกินของเรารวมถึงหม้อข้าวและข้าวสารที่พกมาเพื่อกินระหว่างทาง

ช่วงที่ผ่านมามันมีแต่เราสองคน พอมาถึงที่ค่าย เราก็อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ หนูกับพี่ช่วยกันสร้างเพิงพัก เช้ามืดหนูหุงข้าว พี่ก็ไปตักน้ำ ตรงโซนที่เราอยู่ไม่มีน้ำใช้สักเท่าไหร่ เขาต้องไปไกลมาก แต่ละวันเรากินอาหารปันส่วนที่ผู้นำจัดให้ มีข้าว ถั่วเขียวซีก น้ำมัน มาม่า เราไม่มีเงินติดตัวมาซื้อหอมกระเทียม หรือเครื่องปรุงอะไรอย่างอื่น เราไม่มีญาติพี่น้องในค่ายผู้ลี้ภัยฝั่งไทยที่จะช่วยเราเลย แต่บางทีเพื่อนบ้านเห็นเราไม่มีอะไรกินเขาก็แบ่งเนื้อสัตว์ที่มีมาให้ เดือนก่อนหนูได้ข้าวไม่พอกิน พอไปขอยืมข้าวกับน้ำมันจากเขา เขาก็ให้มาและบอกว่าไม่ต้องคืน” 

หนูคิดถึงพ่อกับแม่มาก แต่ที่หนูดีใจก็คือ เมื่อมาถึงที่ค่าย เราก็ได้ทำอย่างที่พ่อกับแม่หวังไว้ คือ เราได้เรียนหนังสือต่อจริง ๆ หนูไม่ได้เรียนหนังสือมาเกือบสองปีเพราะโรงเรียนถูกสั่งปิด แต่ตอนนี้หนูได้เรียนต่อชั้นปีที่ 9 (ม.3) ส่วนพี่ชายก็ชั้นปีที่ 10 (ม.4) หนูเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์หนูไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานต่าง ๆ ของค่าย พอวันอาทิตย์พี่กับหนูก็เข้าป่าไปหาฟืนและขุดหน่อไม้ 

ตอนนี้ที่โรงเรียนกำลังจะสร้างบ้านพักให้นักเรียนที่ไม่ได้มากับครอบครัว หนูอยากให้มันเสร็จเร็ว ๆ เพราะหนูกับพี่จะได้มีเพื่อน และช่วยกันในเรื่องอยู่เรื่องกินได้ การอยู่โดยไม่มีพ่อแม่มันลำบากมาก แต่หนูคิดว่า เราจะต้องอยู่ให้ได้”

ซ่อ โม เด็กสาวกะเรนนีวัย 15 ปี

Related