อย่าปล่อยให้กำแพงโควิดสูงกว่าความเป็นมนุษย์
สถานการณ์การสู้รบในรัฐกะเรนนีแผ่ขยายจากอ.ดมอโซและลอยก่อทางด้านตะวันตกของรัฐ มาถึงอ.พรูโซและบอลาเกทางตอนกลาง และติดพรมแดนประเทศไทย
เช่นเดียวกับทุกแห่ง กองทัพพม่าตอบโต้กองกำลังปกป้องตนเองของประชาชนกะเรนนี (KNDF) และทหารพรรค KNPP ด้วยการยิงปืนใหญ่เข้าหมู่บ้านและพุ่งเป้าหมายไปที่พลเรือน จำนวนผู้พลัดถิ่นฐานภายในรัฐกะเรนนีจึงไม่ได้ลดน้อยถอยลง หากมีแต่จะทวีคูณ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ค่ายผู้พลัดถิ่นดอโน่กู่ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากประเทศไทยในระยะเดินเท้า 15 นาทีกลับถูกปิดกั้นทั้ง 2 ทาง ทั้งเส้นทางที่ผู้คนจะเข้ามาเพิ่มภายในรัฐกะเรนนี และเส้นทางเข้าสู่ประเทศไทย
เหตุผลของการปิดกั้นเส้นทางทั้งสองคือ การป้องกันไม่ให้มีการนำเชื้อไวรัสโควิด 19 เข้ามาจากรัฐกะเรนนี
ขณะที่ ในค่ายผู้ลี้ภัยกะเรนนีมีการประกาศเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดตามนโยบายของทางการไทย ว่าจะไม่อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นจากดอโน่กู่เดินทางเข้าค่ายผู้ลี้ภัยได้เด็ดขาด ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีครอบครัว พ่อ แม่ หรือลูกอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหรือไม่ก็ตาม ชาวบ้านก็รายงานว่า มีแรงกดดันที่จะไม่ให้ดอโน่กู่ขยายตัวหรือมีผู้พลัดถิ่นเข้ามาเพิ่ม เนื่องจากถือว่าอาจนำโควิด 19 เข้ามาสู่ชายแดนไทย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจในการปิด-เปิดทางเส้นทางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ยังไม่อนุญาตให้มีการถ่ายรูปเผยแพร่ภาพในค่าย และไม่ยินดีที่จะให้เรียกพื้นที่นี้ว่าเป็น “ค่าย” (camp) แต่เป็นเพียง “หมู่บ้าน” เท่านั้น
สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยย่ำแย่จนถึงขีดสุด ความกังวลของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาโดยปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้พลัดถิ่นนั้นไม่ได้ “สมัครใจเลือกหนีภัยมา” แต่มีความ “จำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้” ที่จะต้องหนีภัยอันตรายแก่ชีวิตมานั้น ไม่เคยสามารถแก้ปัญหาใด ๆ ได้เลยในความเป็นจริง แม้แต่ปัญหาโควิด
การปกปิดปัญหา แปรผลได้เพียงการกดดันให้ประชาชนที่จำเป็นต้องหนีตาย ต้องเผชิญภัยอันตราย ล้มตาย หรือแอบซ่อนอยู่อย่างป่วยไข้ในป่า หรือไม่ก็ต้องจำต้องหาวิธีหนีภัยในหนทางอื่นที่ “ราคาแพง” ให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นในราคาค่างวดในตัวเงิน ราคาของชีวิต หรือด้านการแพร่ระบาดอย่างควบคุมไม่ได้ในประเทศไทย
ปัจจุบัน ดอโน่กู่ซึ่งเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่เคยมีผู้คนเพียงร้อยกว่าคน แออัดด้วยคนกว่าพัน อาคารกักตัวสำหรับผู้มาใหม่นั้นกลายเป็นที่พักอาศัยตามมปกติไปแล้ว และผู้ที่เข้ามาใหม่อาศัยอยู่ปะปนกัน ค่ายพักแห่งใหม่นี้ยังขาดโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการป้องกันและเฝ้าระวังโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าการปิดล็อคไม่ให้มีผู้เดินทางเข้ามาใหม่ ก็ควรเป็นการแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แทนที่จะใช้ศักยภาพทางทหารในการปิดกั้นเส้นทางของไวรัส ซึ่งนอกจากจะทำไม่ได้จริงแล้ว หากยังต้องแลกกับการเป็นผู้อำนวยให้เกิดความสูญเสียของมนุษย์อันไม่อาจประเมินค่าได้ รัฐไทยอาจใช้ศักยภาพด้านสาธารณสุขในการให้คำแนะนำด้านการสร้างมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นต่อดอโน่กู่ อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขได้เดินทางไปถึงผู้พลัดถิ่นได้อย่างรวดเร็ว
ประชาชนกะเรนนีเป็นเพื่อนบ้านของเรา การดูแลกันและกันด้วยมิตรภาพคือหน้าที่ และคือความมั่นคงของประชาชนชายแดน เพราะมีแต่กำแพงประชาชนเท่านั้นจะป้องกันโควิดได้อย่างแท้จริง
24 ก.ค. 2564