จดหมายน้อยจากริมแดนกะเรนนี

จดหมายน้อยจากริมแดนกะเรนนี

| | Share

จดหมายน้อยจากริมแดนกะเรนนี

ตั้งแต่รัฐประหารปีที่แล้ว ผ่านมาปีกว่า เด็ก คนหนุ่มสาว และชาวบ้านในรัฐกะเรนนีต้องหลบหนีการเข่นฆ่าไล่ล่าเข้าไปอยู่ตามป่าตามเขา สงครามแผ่นขยายไปเกือบทุกที่ แทบจะไม่มีที่ไหนปลอดภัยเลย

ผ่านไปปีกว่า เรายังมองไม่เห็นว่าจะกลับบ้านไปได้อย่างไร จะเข้ามาขอความช่วยเหลือในค่ายผู้ลี้ภัยในไทยเขาก็ไม่รับ ดังนั้นเราต้องอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ในกลุ่มคนที่มาปักหลักในค่ายพักของคนหนีตายติดกับประเทศไทย ค่ายนี้ขยายขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าฝ่ายไหน ๆ ก็ไม่อยากให้ขยายก็ตาม 

การหนีภัยของพวกเราดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา คนที่ไม่เคยหนีเลยสิแปลกมาก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะละทิ้งบ้าน ทิ้งทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยง ไร่นา พืชผล ทุกอย่างที่มี แล้วแบกจูงกันเอาตัวรอดโดยแทบไม่มีอะไรติดตัวนั้น มันเป็นการตัดสินใจเด็ดขาดที่ยากยิ่ง มันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เจ็บปวด มันคือการเลือกระหว่างชีวิตที่เคยมี กับความหวังว่าลูกหลานจะปลอดภัยหรือได้มีการศึกษา ได้มีอนาคต หรือความหวังว่าคนกะเรนนีจะอยู่รอด เขาจะฆ่าพวกเราได้ไม่หมด

ในฤดูฝน พวกเราป่วยไข้ เป็นหวัด เป็นมาลาเรีย และเป็นหลายโรคซึ่งเราไม่รู้ เพราะที่นี่ไม่มีหมอและยารักษาโรค มีแต่อาสาสมัครอนามัยกับยาพื้นฐานคนพลัดถิ่นอยู่ในบ้านหลังคาผ้ายาง นอนบนผืนดิน เมื่อมาพอจะตั้งตัวได้หน่อยก็ทำฟากพื้นยกขึ้นมาสักนิดให้พ้นดิน แต่หลังคาผ้าขึงไว้ก็จะหย่อนหรือขาดให้น้ำฝนไหลรั่วลงมาเสมอ และบ้านแบบนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยจากสัตว์เลื้อยคลานหรือแมลงกัดต่อยต่าง ๆ นัก

อันที่จริงค่ายทั้งค่ายก็เรียกไม่ได้ว่าปลอดภัย มันอยู่บนเส้นพรมแดนไทย-พม่าก็จริง แต่เครื่องบินรบพม่าก็เคยมาทิ้งระเบิดอยู่ตรงนี้ ฐานทหารพม่าก็ไม่ได้ไกลมาก แต่มันจะมีทางเลือกที่ไหนกัน เราก็ต้องอยู่กันไปโดยรู้ดีว่ามีความเสี่ยงเสมอที่จะถูกโจมตี จับตัว ทรมาน ฆ่า เราต้องอยู่โดยพร้อมที่จะหนีเสมอ ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่ไหน คนกะเรนนีเกือบสองแสนต่างพยายามเดินทางไปยังค่ายคนพลัดถิ่นที่ใกล้และปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ แต่ค่ายที่กระจัดกระจายอยู่เหล่านี้ บางแห่งก็ถูกยิงปืนใหญ่เข้าใส่ ทิ้งระเบิดเข้าใส่ จนทั้งค่ายก็ต้องอพยพหนีเร่ร่อนต่อไปอีก 

ชีวิตในค่ายคนพลัดถิ่นผ่านไปแต่ละวัน เราเก็บหาของป่ากิน เพราะไม่มีใครสามารถทำไร่หรือไปรับจ้างได้ เราไม่มีเงินที่จะไปซื้อหาของกินในฝั่งไทยได้เหมือนในยามปกติ แต่ละวันคิดถึงแต่ว่า จะหาอาหารมาช่วยให้เราอยู่รอด และให้เด็ก ๆ เติบโตด้วยสุขภาพที่ดีได้อย่างไรบ้าง บางทีชีวิตแบบนีเหมือนกับไม่มีวันนี้ มีแต่วันหน้า มีแต่ความฝันที่จะสร้างบ้านเมืองของเราชาวกะเรนนีกลับขึ้นมาใหม่ 

แต่เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นได้ ความช่วยเหลือจากคนภายนอกเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การสนับสนุนและกำลังใจจากนานาชาติกับประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ฉันคิดว่าพวกเราได้พยายามต่อสู้อย่างกล้าหาญ พยายามอดทนอย่างดีที่สุด เราจึงสมควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากโลกอยู่บ้างใช่หรือไม่

21 กรกฎาคม 2565
ภาพประกอบ : ค่ายพักคนพลัดถิ่นริมแดนกะเรนนี ถ่ายโดยชาวบ้านกะเรนนี

Related