เสียงจากเยาวชนกะเรนนี (4)
คุณคงรู้แล้วว่า สถานการณ์ความรุนแรงทำให้ชาวกะเรนนีส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในป่ามากกว่าจะอยู่ในบ้านตัวเอง ครอบครัวผมก็เหมือนกัน พ่อแม่ผมเป็นชาวไร่ชาวสวนเหมือนคนกะเรนนีทั่ว ๆ ไป เราปลูกข้าวโพดกับงา พอขายได้ก็เอาเงินไปซื้อข้าวกิน แต่ปีนี้ สถานการณ์อย่างนี้ เราได้แต่หนีและหนี แทบไม่มีเวลากับไร่กับสวนของเราเลย
ครอบครัวผมมีด้วยกันหกคน เมื่อทุกอย่างยากลำบากขึ้น พ่อกับแม่ก็บอกให้ผมพาตากับยายหนีไปซะ ตายายผมอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งใกล้ ๆ กัน พวกเขาทนอยู่ท่ามกลางสงครามต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมถามว่า ถ้าผมไปชายแดนแล้วใครจะช่วยพ่อกับแม่ล่ะ แต่แม่บอกว่า ไม่ต้องห่วง พี่น้องผมจะช่วยกันได้ แต่ผมจะต้องพาตากับยายมาหาที่ปลอดภัยที่ชายแดนไทยเสียก่อน
แม่ให้ผมรับปากว่า เมื่อไปอยู่ไกลครอบครัว ผมจะต้องไปเรียนหนังสือให้จบ และไม่กินเหล้าหรือใช้ยาเสพติดทุกชนิด ผมจำคำแม่ได้และเก็บมันไว้ในใจเสมอ
ผมออกเดินทางมากับตาและยาย มีเงินติดตัวมา 5000 จั๊ต (ประมาณ 100 บาท) ผมรู้ว่าพ่อกับแม่คงไม่มีเงินจึงไม่ได้ขอ ผมช่วยตายายแบกข้าวของทั้งหมดตลอด 8 วัน 8 คืน แน่นอนว่ามันหนักมาก แต่ตากับยายก็แก่แล้ว ผมให้พวกเขาถืออะไรมากไม่ได้ หน้าที่ของผมคือการดูแลพวกเขา บางวันทั้งสองคนก็เหนื่อยมากจนกินอะไรไม่ลง ผมก็กลุ้มใจไม่รู้จะทำยังไง แต่ในทึ่สุด เราก็มาถึงชายแดน เพื่อที่จะพบว่า เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยกะเรนนีในประเทศไทยหรอก เขาบอกว่าชายแดนไทยปิดเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด 19 และเราต้องเดินย้อนไปอีกทางเพื่อไปอยู่ในค่ายพักของผู้พลัดถิ่นในเขตกะเรนนี
ผมจึงมาอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นดอโน่กู่ กรรมการค่ายบอกให้เราสร้างเพิงพักได้ ผมลงมือสร้างเพิงของเราโดยมีตากับยายแก่ช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ตอนนั้นที่นี่ยังไม่ไม่มีโรงเรียน ผมรู้สึกหดหู่และเครียดมาก เพราะพ่อกับแม่คิดว่าผมจะได้มาเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัย ผมไม่ได้เรียนหนังสือมาเกือบสองปีแล้วตั้งแต่รัฐบาลพม่าประกาศปิดโรงเรียน ผมคิดถึงครอบครัว ผมเป็นห่วงพี่น้องกับพ่อแม่ ผมกลุ้มใจเกี่ยวกับชีวิตของเราที่นี่ด้วยว่าจะเป็นยังไงต่อไป บางคืนผมก็นอนไม่หลับ บางทีผมก็แอบน้ำตาไหลคนเดียวเพราะผมติดต่อใครที่บ้านไม่ได้เลย ผมได้แต่อธิษฐานให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย
แต่พอได้อยู่มาไม่กี่อาทิตย์ ก็เหมือนจะมีอะไรดีขึ้น ผมได้ข่าวว่าจะมีครูมาเริ่มสอนชั้นประถมและมัธยมที่นี่ ผมดีใจมาก ตอนนี้ผมจึงไปเรียนหนังสือทุกวัน ผมขึ้นชั้นปีที่ 10 (ม.4) แล้ว ผมอยากให้พ่อแม่ได้รู้ว่าผมไปโรงเรียนทุกวัน และตั้งใจเรียนเสียด้วย สักวันผมคงหาทางติดต่อพวกเขาจนได้ ผมรู้ว่าประชาชนอย่างเราต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด และต่อสู้เพื่อความฝันของเราเสมอ ผมก็จะพยายามให้มากที่สุด ขอให้พวกเราทุกคนจงสู้ และไม่ยอมพ่ายแพ้ด้วยกันเถอะ
เรห์
นักเรียนชั้นปีที่ 10 (ม.4)
**ภาพประกอบโดย กลุ่มนักเรียนมัธยมค่ายผู้พลัดถิ่นดอโน่กู่