เรื่องเล่าจากผู้ลี้ภัยที่ถูกกดดันกลับมื่อตรอ

เรื่องเล่าจากผู้ลี้ภัยที่ถูกกดดันกลับมื่อตรอ

| | Share

เรื่องเล่าจากผู้ลี้ภัยที่ถูกกดดันกลับมื่อตรอ

วันนี้ (5 มิ.ย.) สำนักข่าวชาวกะเหรี่ยงได้เผยแพร่ภาพถ่ายผู้ลี้ภัยที่กำลังข้ามแม่น้ำเมยจากแม่สอดกลับไปยังจังหวัดดูปลายา รัฐกะเหรี่ยง  ชาวบ้านรวม 700 คนนี้ทะยอยหนีข้ามพรมแดนมาตั้งแต่ราว 3 วันก่อน และจำนวนค่อย ๆ ลดลงเมื่อเสียงปืนระหว่าง DKBA กลุ่มพันเอกจอแต็ท/โกล้ทูบอกับกองทัพพม่า/BGF ที่ผะลูเริ่มเงียบ  อย่างไรก็ตาม การสู้รบได้ปะทุขึ้นอีกระหว่างกองกำลังองค์การพิทักษ์ตนเองแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNDO หรือ Karen National Defence Organization) ภายใต้ KNU กับกองทัพพม่าที่ด้านตรงข้ามกับอ.พบพระอยู่ในขณะนี้

การหนีภัย เป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเมื่อประสบความเสี่ยงต่อภัยอันตราย  ชาวบ้านกะเหรี่ยงลี้ภัยข้ามประเทศไปยังสถานที่ปลอดภัยด้วยวัตถุประสงค์ที่จะหนีภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ มิได้วางแผนจะเดินทางเพื่อหวัง “ย้ายถิ่นฐาน” มาปักหลักอยู่ในประเทศไทย ดังที่มีผู้มักกล่าวหา และกล่าวอ้าง 

ในที่นี้ เพื่อนไร้พรมแดนจึงนำบทสัมภาษณ์สั้น ๆ ของผู้ลี้ภัยหญิงชายวัยกลางคน ซึ่งเดินทางกลับไปยังจังหวัดมื่อตรอ รัฐกะเหรี่ยงในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดังนี้  

หญิง : เมื่อเครื่องบินมายิงและทิ้งระเบิดใกล้บ้านเรามาก  เราหนีไปหลบในป่าก่อน วันรุ่งขึ้นก็ยังไม่หยุด เราเลยตัดสินใจพากันมาฝั่งไทย ตอนที่ข้ามมา ทหารชุดสีดำยืนถือปืนอยู่ที่ฝั่งน้ำ เขาให้เราข้ามมาได้โดยดี

ชาย : มีทหารพรานกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ น่าจะอยู่กันราว 8 คน เดินไปเดินมา เราได้ยินเขาติดต่อกับหัวหน้าของเขาหลายครั้ง  หัวหน้าบอกให้พวกเรากลับไปทันที  แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ? ในที่สุด ทหารพรานก็บอกให้เรากลับวันรุ่งขึ้น ไม่ให้สร้างที่พักอะไรแล้ว เพราะพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว

หญิง : คืนนั้นเราก็กินอาหารที่ติดมือมา แล้วนอนบนพื้นดิน  ฝนตกลมแรง

ชาย :  ที่ ๆ เราพักมันอยู่บนเนิน เขาให้เราย้ายไปห่างจากแม่น้ำ ตรงนั้นไม่มีน้ำกิน ไม่มีน้ำอาบ ไม่มีห้องน้ำ ไม่รู้จะไปที่ไหนได้ถึงจะไม่สกปรก

หญิง  : เราก็อยู่ไปแบบนั้น อย่างน้อย อยู่เมืองไทยไม่ต้องกลัวเครื่องบิน แต่ที่เรากลัวก็คือ กลัวทหารไทยจะไล่เรากลับ แล้วเขาก็ไล่จริง ๆ 

ชาย : เราพยายามอยู่อย่างเรียบร้อย ปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง แต่เขาก็ให้กลับอยู่ดี

หญิง :  เช้าขึ้นมา หัวหน้าทหารมาบอกให้กลับ ทหารตรงนั้นก็บอกว่า กลับไปไม่เป็นไรหรอก ทหารพม่าไม่มายิงหรอกเพราะเราเป็นแค่ชาวบ้าน  เราบอกว่าเราไม่กล้ากลับ มันยังไม่ปลอดภัย แต่เขาก็ไม่ต้อนรับเราแล้ว  

ชาย:  เราขอว่าให้ผู้ใหญ่ที่แข็งแรงกลับไปดูสถานการณ์ก่อนได้ไหม ให้แม่ลูกอ่อน คนท้อง เด็ก คนแก่ รออยู่ก่อนเพราะยังไม่ปลอดภัย  แต่เขาก็ไม่ยอม บอกให้เรากลับทั้งหมด เราพยายามบอกว่าทหารพม่ากำลังเคลื่อนไหวยังไงอยู่  แต่หลังจากที่ได้พูดกับหัวหน้า พวกเขาก็ไม่ฟังเราอีกต่อไป  ทีแรกเขาบอกจะช่วยค่าน้ำมันเรือพันนึงด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ให้หรอก มีแต่จะเอาลวดหนามมากั้นไม่ให้เราขึ้นฝั่งอีก

หญิง : จริง ๆ ถ้าเขาไม่ไล่กลับ ฉันก็คิดว่าจะอยู่จนมันสงบสักหน่อย  กลับไปแบบนี้ อีกแป๊บเดียวก็มาอีก เราไม่อยากหนีซ้ำ ๆ เพราะทุกครั้งเราต้องแบกคนแก่ อุ้มเด็กเล็ก ต้องช่วยกันมาแบบนั้น มันไม่ง่าย

ชาย :  พอเขาให้เรากลับ หลายคนก็ไม่กล้าเข้าบ้าน นอนในป่า ใต้หิน ใต้ถ้ำ  แต่พอรอบนี้ เรากลัวจนไม่รู้จะกลัวอะไรอีกแล้ว  ก็เลยเข้ามานอนในบ้าน คอยเงี่ยหูฟังเสียงว่าจะมีเครื่องบิน มีปืนใหญ่ไหม  ถ้าเด็กร้องดังหรือใครเสียงดังก็จะโดนดุให้เงียบ เพราะกลัวไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ เราอยู่กันแบบนี้

หญิง : ฉันเลือกกลับมานอนบ้านเพื่อจะได้หุงหาอาหารได้สะอาดหน่อย แต่ตกมืดทีไร ฉันก็กลัวเครื่องบินจะมา  ฉันแค่อยากให้ประเทศไทยต้อนรับเราในเวลาที่เรามีปัญหาเท่านั้น  ฉันไม่ได้อยากไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหรอก

ชาย :  ไม่มีใครอยากไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย  เราแค่ขอให้ยอมรับให้เราอยู่ในพื้นที่ที่กว้างพอและมีน้ำใช้ มีน้ำใช้ มีความสะอาดบ้าง ชั่วคราวเท่านั้น … 

ชาวบ้านบางคนจากชุมชนดังกล่าว เคยถูกผลักกลับไปแล้วหนีมาใหม่รวม 3 ครั้ง ครั้งสุดท้าย พวกเขาตัดสินใจกลับไปเองก่อนที่จะถูกไล่ 

ทุกวันนี้ มื่อตรอยังถูกโจมตีอยู่ทุกหัวระแหง ปืนใหญ่ยังยิงเข้าสู่ชุมชนและผืนไร่ เฮลิคอปเตอร์บินสำรวจบริเวณบ้านเดปู่โน่และรายรอบ  กระทั่งในฝั่งไทยก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าปลอดภัย เพราะในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ชาวบ้านท่าตาฝั่งก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อกระสุนปืนใหญ่ของกองทัพพม่าได้เข้ามาตกในชุมชน ทั้งจากการจงใจยิง (21 พ.ค.) และลูกหลงจากการสู้รบกับทหาร KNLA/KNU เมื่อสองวันที่ผ่านมา

5 มิ.ย. 2564

ภาพประกอบ : ภาพข่าวการเดินทางกลับของผู้ลี้ภัยที่แม่สอด (Karen National Media), ภาพผู้ลี้ภัยมื่อตรอที่ถูกกดดันให้กลับไปและสร้างเพิงพักนอกชุมชนตนเอง โดยชาวบ้านสาละวิน และภาพใบไม้-ต้นไม้ในสวนของบ้านท่าตาฝั่งที่มีกระสุนปืนใหญ่ลงมาตก ถ่ายโดยชาวบ้านสาละวิน

Related