หนีเสือปะจระเข้

หนีเสือปะจระเข้

| | Share

หนีเสือปะจระเข้

ผมได้อ่านประโยคนี้จากหนังสือภาษาพม่าเล่มหนึ่ง มันเป็นชื่อบทหนึ่งในหนังสือที่เล่าว่า เมื่อคนที่หนีชีวิตใต้เผด็จการพม่ามาอยู่เมืองไทยแล้ว พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง

ตั้งแต่ที่เด็กชายคนนั้นถูกยิงให้เห็นตรงหน้า ผมก็รู้ว่าผมต้องหนี  บ้านของผมถูกบุกค้น ข้าวของถูกทำลาย ผมและคนที่ผมรู้จักหลายคน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน จากบ้านนั้นไปบ้านนี้ จากเมืองนั้นไปเมืองนี้ บางคนที่ให้ที่พักเราก็ต้องพลอยหนีไปด้วยเพราะถูกเอาผิด ถูกตั้งข้อหาว่าสนับสนุนการล้มล้างรัฐบาล ผมเองต้องแยกกับลูกเมียอย่างกระทันหัน และในระหว่างการหลบหนีเราก็ติดต่อกันไม่ได้ ได้แต่หวังว่า จะได้มาเจอกันอีกครั้งในพื้นที่ปลอดภัยใกล้ ๆ ชายแดนไทย

ทั้งหมดนี้ก็แค่เพราะว่า เราทนไม่ได้กับการยึดอำนาจของทหาร เรามีความหวังมากมายในการเลือกตั้ง แต่แล้วพวกเขาก็ทำเหมือนกับเราไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย เสียงของเราไม่มีความหมาย เขาต้องการจะครองประเทศโดยให้เราเป็นแค่ผู้อาศัย

ผมได้มาเจอกับลูกเมียอีกครั้งที่ชายแดน แต่แล้วกองทัพพม่าก็มาถึง พวกเขาโจมตีและทิ้งระเบิดที่ที่เราอยู่ เราก็ต้องหนีกันอีก พอมาที่เมืองไทย เราต้องจ่ายเงินเพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองจากการถูกจับ ผมเองไม่เคยถูกจับแต่ผมก็ไม่รู้ว่าบัตรที่พวกเขาให้ผมไว้มันจะคุ้มครองผมได้จริงหรือเปล่า ที่ไม่เคยถูกจับก็เพราะผมกลัวจนไม่กล้าไปไหน ลูก ๆ ของผมก็กลัวมากในการที่มาอยู่ในประเทศนี้ ถ้าเราถูกจับ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการส่งกลับไปให้ทหาร เรารู้ว่าพวกเขาทำยังไงกับนักโทษ คนที่ไปถึงศาลและถูกจำคุกก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ตายไปก่อนระหว่างทางก็ส่วนหนึ่ง นี่เป็นเหตุที่ทำให้เราบางคนยอมจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ เพื่อที่จะไม่ถูกจับ หรือถ้าถูกจับก็ให้ได้รับการปล่อยตัว

เราไม่ได้มีเงินติดตัวกันมาทุกคน ถ้ามี มันก็หมดไปกับค่าคุ้มครองความปลอดภัยเหล่านี้ บางทีพวกเขาก็คว้ากระเป๋าเงินเราไปดู แล้วหยิบไปตามใจชอบ เราขายทองเส้นที่มี ขายของมีค่าแล้วทุกอย่าง เราติดหนี้ทุกคน เราหยิบยืมและขอคนอื่นอย่างที่เราก็ไม่เคยขอมาก่อน คุณเคยขอความช่วยเหลือจากใครไหม ผมไม่ได้รู้สึกดีกับการที่บอกว่า ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย อย่างนี้เลย

ผมกลับพม่าไม่ได้ ถ้ากลับไปผมกับเมียอาจจะถูกจับหรือตายทั้งคู่ แค่เพราะว่าเราไม่ต้องการรัฐบาลทหารนั่นแหละ เราไม่เคยก่ออาชญากรรมอะไรเลย บ้านของผมถูกยึดไปแล้ว ผมไม่เหลืออะไร ผมไม่ได้อยากจะมาลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ เป็นแขกที่เขาไม่อยากต้อนรับ แบบที่ในหนังสือว่านั้นหรอก

ผมได้แต่หวังว่าจะได้ไปประเทศที่สาม ไม่ใช่เพราะผมอยากไปอยู่หรูหรา ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ผมอยากอยู่ในประเทศของผม แต่ผมทำไม่ได้ ตอนนี้จะไปต่างประเทศก็เหมือนไม่มีใครจะรับ แต่ผมยังไม่ได้เสียใจที่เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้ ถ้าให้ย้อนเวลาไป ผมก็จะลุกขึ้นต่อต้านอยู่ดี 

18 มีนาคม 2565

หมายเหตุ 

– เรียบเรียงจากจดหมายและการพูดคุยเพิ่มเติมกับผู้ลี้ภัย

– ภาพประกอบจากแม่น้ำเมย ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าของจดหมาย/ผู้ให้สัมภาษณ์

Related