บันทึกของนักปฏิวัติธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
1 กุมพาพันธ์ 2564
ตีห้า เพื่อนโทรศัพท์มาหาผมและบอกว่า “กองทัพยึดอำนาจแล้ว” ผมพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก สายถูกตัดไป ครอบครัวของผมพากันตื่นขึ้นมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เราทุกคนตกอยู่ในความกังวล ผมพยายามติดต่อเพื่อนคนอื่น ๆ เพื่อจะถามว่าเราจะต้องทำอย่างไรกันดี แต่ไม่นานนัก ทั้งสายโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตก็ถูกตัด และเราก็ติดต่อใครไม่ได้อีก
สิบโมงเช้า แทนที่เราจะได้ดูไลฟ์ประชุมสภาผู้แทนราษฎร สิ่งซึ่งเราหลายคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ โทรทัศน์ทหารก็ประกาศข่าวรัฐประหาร ความฝันของครอบครัวผมถูกขว้างทิ้ง ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวผมหรอก ความฝันของประชาชนพม่าที่จะเห็นประเทศของเราก้าวหน้าด้วยประชาธิปไตยและเสียงของประชาชนก็ถูกเหยียบย่ำทำลาย
2 กุมพาพันธ์ 2564
ผมไปพบกับผู้นำในพรรค พวกเขาบอกให้ผมเตรียมจัดกระเป๋าและของสำคัญเอาไว้เพื่อพร้อมที่จะหนี พวกเขาพร้อมที่จะหนีแล้ว เพราะสภาทหารจะต้องมาหาเราแต่ละคนแน่นอน
ผมพูดกับภรรยาของผมว่า เขารับอะไรแบบนี้ไม่ได้ ผู้นำเหล่านี้เคยถูกจับขังมาก่อนในยุคการปฏิวัติประชาชน 1988 พวกเขาเริ่มเป็นคนสูงอายุ และหวาดกลัวที่ทุกอย่างจะย้อนกลับไปอีก แต่ตอนนี้มันศตวรรษที่ 21 แล้ว ผมพูดกับภรรยา เราจะต้องไม่กลัว เราจะต้องปฏิวัติต่อต้านระบบทหาร
7-8 กุมภาพันธ์ 2564
เพื่อน 2 คนของผมร่วมกับกลุ่มเยาวชน นำการประท้วงต่อต้านรัฐประหาร ทั้งครอบครัวเราร่วมลงถนนด้วย ผมออกชักชวนผู้นำชุมชนแถวบ้านให้มาร่วมแสดงพลังและพวกเขาก็มา เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนก็มาร่วมขบวนการ
อารยะขัดขืน
9 กุมภาพันธ์ 2564
คนทั้งเมืองออกมาร่วมประท้วงบนถนน พวกเขาไม่หวาดกลัวทหาร พวกเขาได้ลิ้มรสชาติของประชาธิปไตยไปแล้วในช่วงปี 2558-2563 และต้องการรัฐบาลประชาชนที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ย้อนกลับ ตั้งแต่เกิดและโตมา พวกเราอยู่ภายใต้อำนาจทหารมาตลอด รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่มาแค่ 5 ปี ยังไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ก้าวหน้า ผู้คนเริ่มเห็นว่าการมีระบบรัฐบาลที่จะต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้เป็นอย่างไร ในฐานะสมาชิกพรรค NLD ผมสนับสนุนออง ซาน ซู จีและความพยายามที่จะสร้างประเทศพม่าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจู่ ๆ พวกทหารจะตัดการเดินทางตรงนี้ออกไปได้อย่างไร
8 มีนาคม 2564
เราก้าวสู่เส้นทางการปฏิวัติมาได้ 1 เดือนแล้ว
เช้าวันนี้เวลาตีห้า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเพื่อนกับผมส่งข้อความมาหา “หนีไปให้เร็วที่สุด” เขาบอกแค่นี้ ผมรีบออกไปทันทีโดยยังไม่ทันเตรียมตัว แล้ว 10 นาทีหลังจากนั้น รถทหาร 3 คันกับรถตำรวจอีกคันก็มาจอดหน้าบ้าน พวกเขาเข้าค้นทุกสิ่งในบ้าน และบอกครอบครัวผมว่า ผมมีหมายจับข้อหาตามมาตรา 505 (A) และเมื่อจับผมไม่ได้ ทุกคนในบ้านจะต้องถูกจับไปแทน
คืนนั้น ผมได้แต่รอฟังข่าวและร้อนรน ผมหนีไปหลบอยู่ที่บ้านเพื่อนของผมคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ถูกจับตัวไปหลังจากที่ผมหนีไปแล้ว เธอถูกจับก็เพราะผม แล้วเธอก็ตายในคุกอินเส่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ลูกสาวของเธออายุได้เพียง 13 ปี ผมรู้สึกผิดบาปและเจ็บปวดอย่างยิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเสียชีวิตอย่างทรมาน และเด็กหญิงต้องกำพร้าแม่
14 มีนาคม 2564
ครอบครัวของผมทั้ง 10 คนถูกจับขังเพราะผม นี่รวมถึงภรรยา ลูกสาวอายุ 14 และลูกชายอายุ 11 ปี ซึ่งผมรักพวกเขาเป็นแก้วตาดวงใจ แม้กระทั่งพ่อ แม่ บรรดาน้องชาย น้องเขย น้องสาว น้องสะใภ้ และหลานชายวัย 2 ขวบก็ถูกขังด้วย ลูก ๆ ของผมเล่าให้ฟังว่า พวกเขาถูกทหารที่เมามายทุบตี ทุกวันนี้แม้พวกเขาจะร่าเริงสดใสด้วยความที่เป็นเด็กและเพราะได้หลุดออกจากสภาพนั้นแล้ว ผมก็คิดว่าบาดแผลในใจนี้จะอยู่กับพวกเขาไปอีกนาน
หลังจาก 3 วันผ่านไป ภรรยาของผมก็ถูกพาตัวไปพบกับหัวหน้าทหาร เธอเป็นหัวหน้าพยาบาลที่ร่วมขบวนการอารยะขัดขืน จึงมีความหมายกับพยาบาลคนอื่น ๆ มาก ทหารบอกว่า เธอและลูกจะได้รับการปล่อยตัวถ้ายอมเซ็นชื่อรับรองว่าจะไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการต่อต้านรัฐบาลอีก เธอจึงยอม เพื่อให้เธอและลูก ๆ ได้ออกมาจากที่คุมขัง แต่น้อง ๆ ของผมถูกขังต่ออีกเป็นเดือน
24 เมษายน 2564
เมื่อครอบครัวของผมได้รับการปล่อยตัวออกมาทั้งหมด พวกเราก็แยกย้ายกันหนี เราคงอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้แล้ว ขณะนั้นผมหนีออกจากเมืองที่อาศัยอยู่ไปถึงพะโคแล้ว เราได้แต่ส่งข่าวถึงกันและกันอย่างลับ ๆ ภรรยาของผมเข้มแข็งมาก ผมเชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าเธอสามารถดูแลลูก ๆ ของเราได้ และเราจะได้พบกันอีก
23 พฤษภาคม 2564
ผมเดินทางถึงเมืองเลเก้ก่อ จังหวัดเมียวดี (ดูปลายา) รัฐกะเหรี่ยง โดยขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะมา 200 กิโลเมตร และได้พบกับครอบครัวของผมอีก
เด็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาผมแล้วร้องไห้ ลูกชายคนเล็กของผมร้องว่า “พ่อ พ่อจะกลับบ้านเมื่อไหร่” ผมได้แต่ตอบลูกอย่างรู้สึกผิดมากมายว่า “อาจจะอีกไม่นานหรอก ลูก”
แต่แล้ว เราก็ต้องหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
18 มกราคม 2565
ขณะที่เรามาหลบอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากเงื้อมมือของทหารพม่าพอสมควร ผมก็ได้ข่าวว่า ทหารและตำรวจบุกเข้าไปในบ้านของผม และทุบทำลายไปหลายส่วน แล้วพวกเขาก็ติดป้ายไว้ว่า มันถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐไปแล้ว เอาเถอะ บ้านของผมจะถูกทำลายไปกี่ครั้งกี่หลัง พวกเขาก็ทำลายความเชื่อมั่นในใจผมไม่ได้
1 กุมภาพันธ์ 2565
ปีหนึ่งผ่านไปแล้ว
การต่อต้านของเรามีทั้งการป้องกันต่อและต่อต้านด้วยอาวุธ ซึ่งเกิดขึ้นส่วนใหญ่ในป่าขอบแดนและในดินแดนของกลุ่มชาติพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งการต่อต้านในเมืองโดยปราศจากอาวุธ ชุมชนต่าง ๆ ในตอนเหนือและตะวันออกของพม่าถูกเผาทำลาย ถล่มด้วยปืนใหญ่ ปืนกล และระเบิด ชาวบ้านชาติพันธุ์ที่ผมได้รู้จัก พลเรือนไร้อาวุธ ล้มตายอยู่ทุกวัน แม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ก็ต้องตายด้วยระเบิด
แต่เราก็ยังคงต้องต่อสู้ ด้วยหลากหลายวิธี เราทำอะไรกันมาบ้าง เราออกลงถนนประท้วง ชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์ต่อต้าน โบกธง ตบมือ เคาะเกราะเคาะหม้อไล่ความชั่วร้าย ปิดถนน ขับรถช้า ๆ แล้วบีแตร ผูกโบว์สีแดง วางดอกไม้ วาดแป้งทานาคาบนสองแก้ม แขวนกางเกงในผู้หญิงเป็นราวป้องกันทหาร กางร่ม วาดการ์ตูน สวดมนต์และพระท้วงโดยพระสงฆ์ ปฏิเสธที่จะใช้ผลิตภัณฑ์จากธุรกิจของทหาร ปฏิเสธที่จะดูโทรทัศน์ช่องทหาร ปฏิเสธที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ของทหาร ปฏิเสธที่จะขายของให้ทหาร ปฏิเสธที่จะสนับสนุนนักแสดงนักร้องที่ยอมร่วมมือกับทหาร เขียนบทกวี เขียนเพลง ร้องเพลง จุดเทียน ฉายภาพลงบนผนังตึก ใช้เฟสบุ๊คโพรไฟล์ประท้วง ถ่ายวิดีโอ ระดมทุน ประกาศประมูลบ้านทหาร แต่งชุดพื้นเมืองในงานแฟชั่น ยึดคืนที่ดินจากทหารมาขาย ทำตุ๊กตาล้มลุกเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมพ่ายแพ้ (PyitTaingHtaung)
มันมากมาย แต่ก็ยังไม่พอ เราต้องหาทางอื่น ๆ อีก
30 กันยายน 2565
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่หลบหนีมาจากเมืองเดียวกันกับผมติดต่อมา เราดีใจที่ได้เจอกัน เขาบอกผมว่า พวกเขากำลังวางแผนจะทำหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนซื้อผลิตภัณฑ์ที่มาจากธุรกิจของทหาร เขาชวนให้ผมเข้าร่วมงานด้วย ผมตอบตกลง มันเป็นช่องทางที่ดี เวลาเราเอาลงยูทูป เราได้ค่าโฆษณามาเป็นเงินสนับสนุนการต่อสู้ด้วย และเรายังได้รณรงค์ให้คนที่ยังไม่มีความตระหนักรู้ด้วยว่า พวกเขาอาจกำลังสนับสนุนให้ทหารฆ่าพี่น้องเราอยู่อ้อม ๆ
ผมดีใจที่ได้ลงมือทำอะไรอีกครั้ง พวกเราต้องพยายามให้มาก ด้วยความหวังอย่างเดียวว่า เด็กรุ่นใหม่จะไม่ต้องมีชีวิตอย่างที่พวกเราเคยมี
24 ตุลาคม 2565
ผมนั่งดูบันทึกของผม ขณะที่เครื่องบินรบของกองทัพพม่า โจมตีรัฐกะฉิ่น และฆ่าคนตายไปหลายสิบ
ผมรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ในศตวรรษที่ 21 ข้อมูลข่าวสารเดินทางได้รวดเร็ว แต่ดูเหมือนโลกจะไม่ได้ใส่ใจกับชะตากรรมของเรานัก
เรากลายเป็นนักปฏิวัติ เราพยายามที่จะปรับตัวกับสภาพที่ต้องหลบหนี ไร้บ้าน สูญเสียเสรีภาพ และต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผมบอกลูกของผมเสมอว่า ระบบอำนาจที่ชั่วร้ายนี้จะต้องถูกกำจัดลงได้ในวันหนึ่ง
เราจะเดินบนเส้นทางปฏิวัติต่อไป ทุกวันนี้ลูก ๆ ต้องอยู่อย่างลำบาก สิ่งที่พ่อจะให้ลูกได้ในวันนี้แทบไม่มีอะไรจับต้องได้ นอกจากความรัก และศักดิ์ศรี นี่คือมรดกตกทอดที่ผมและภรรยาจะมอบให้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน
ด้วยรัก
ZYO