บนเส้นทางที่คดเคี้ยว (การต่อสู้ที่พ่ายแพ้ไม่ได้ ตอนที่ 4)
**บันทึกของผู้ลี้ภัยการเมือง เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบขวบปีของการโจมตีเมืองเลเก้ก่อ ซึ่งนำมาสู่การอพยพครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2564 ***
(ความเดิมจากตอนที่แล้ว : ….ตัวผมเองสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ยืนนิ่งสนิทไม่ไหวติงอยู่ข้างหลังต้นไม้ใหญ่ สิ่งสุดท้ายที่หลงเหลือว่าจะปกป้องผมได้ในยามนี้ ….)
แต่แล้ว เสียงเครื่องบินก็กระหึ่มมาอีก เราทั้งหมดจึงต้องเคลื่อนย้ายลงต่อไปให้ถึงห้วยในเหวลึก คนนำทางบอกให้เราเอาผ้าห่มและเสื้อผ้าผูกพันเป็นเชือก โหนตัวไต่ลงไปตามผา ผมไต่ลงไปตามคำสั่ง พอเงยมองย้อนไปตามทางที่ลงมาก็เห็นว่าเราลงมาได้ลึกมาก ครอบครัวที่อยู่ข้างหน้าผมมีลูกเล็ก ส่วนกลุ่มข้างหลังผมเป็นครู รวม ๆ กันแล้ว กลุ่มเราที่ไต่ลงมาด้วยกันตรงนี้มีราว 15 คน
หลังจากระเบิดลงครั้งที่สอง และสาม เครื่องบินก็หายเงียบไป เราหลบอยู่เงียบ ๆ นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไม่มีใครกล้าส่งสุ้มเสียงอะไรเลย จนกระทั่งมีเสียงทหารกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) ตะโกนถามลงมาว่า มีใครหลบอยู่ข้างล่างนั่นหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าพวกเราอยู่ข้างล่างหุบเหวนี้ พวกเขาก็ตะโกนบอกว่า เดี๋ยวจะกลับมาพาเราไปยังที่ปลอดภัยอื่น นักรบเหล่านี้เฝ้าตามหาผู้หนีภัยที่กระจัดกระจายไปทั่วป่า ในขณะที่นักรบชาวกะเหรี่ยงก็ต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองและชาวเมืองจากกองทัพที่โหดร้าย นี่ไม่ใช่หรือ ? ทหารแบบที่เราต้องการ ทหารที่ช่วยชีวิตประชาชน ทหารที่เสี่ยงชีวิตของตนเพื่อปกป้องพวกเรา ทหารเหล่านี้ แม้แต่เวลาที่เรายังอยู่ในเลเก้ก่อและเข้าแถวรอรับอาหารปันส่วนหรือเข้าแถวรอเข้าห้องน้ำ พวกเขาจะบอกให้เราไปก่อนเสมอ ไม่เคยเลยที่จะถือตัวว่ามีความสำคัญไปกว่าเรา ดังนั้น ในความรู้สึกขอบคุณ เราก็เคารพพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง นี่คือทหารที่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการเคารพ ไม่ใช่ทหารของเผด็จการ
เมื่อพวกเราที่หลบอยู่ในหุบห้วยถูกบอกให้กลับขึ้นมาโดยเร็ว เราก็ให้ผู้หญิง เด็ก และครูปีนโดยโหนผ้าห่มและเสื้อที่ผูกไว้แต่เดิมปีนกลับขึ้นไป ผมซึ่งร่างใหญ่อยู่ข้างหลัง คอยดันทุกคนขึ้นไป แต่แล้วผมก็พลาด ลื่น ตกกลับลงไปในหุบห้วยนั้น ทหาร PDF คนหนึ่งเห็นและไต่ลงมาช่วยพาผมกลับขึ้นไปจนถึงยอดได้ แต่พอปีนขึ้นไปถึง ผมก็ใจหายวาบ เพราะที่นั่นไม่มีครอบครัวผมอยู่แล้ว ทหารคนนั้นบอกว่า ไม่เป็นไร เขาจะพาผมไปที่ครอบครัวผมอยู่เอง แต่พอไปถึงจุดที่มีคนจำนวนหนึ่งหลบภัยอยู่ ผมก็หาครอบครัวไม่เจอ เพราะป่ามืดจนมองอะไรไม่เห็น และเราจะใช้แสงไฟใด ๆ ไม่ได้เลยเพื่อความปลอดภัยของทุก ๆ คน
ยามนั้น ผมไม่รู้จะอธิบายความหวั่นวิตกของผมออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร ผมรู้ว่าลูกสาวคนเล็กของผม ลูกชาย ลูกสาว และเมียของผม กำลังหวาดกลัวขนาดไหนและกังวลขนาดไหนที่ต้องพลัดพรากจากผม แต่ในใจผมคิดถึงว่า มีแม่กี่คนแล้วที่ต้องสูญเสียลูกชาย และกี่ครอบครัวที่ต้องสูญเสียพ่อของพวกเขาไปในการสู้รบเพื่อเสรีภาพและการปกป้องพวกเรา ผมพยายามปลอบตัวเองให้เข้มแข็ง ขณะที่หูตาระวังระไว ฟังทุกสรรพเสียงในความมืด นั่งอยู่อย่างนั้น จนจิตของผมเร่งเดินเข้าสู่ยามเช้าที่อาทิตย์ส่องสว่าง
ในแสงสว่างของเช้าวันนั้น ผมได้พบกับลูกเมียของผมที่บริเวณใกล้ถ้ำอันเป็นสถานที่หลบภัย ดูเหมือนว่าความหวาดกลัวของพวกเขาได้จางหายไปบ้าง แต่ความวิตกกังวลและตึงเครียดปรากฏอยู่แทน ทั้งบนใบหน้าของพวกเขา และของผมด้วย วันนั้น หลายครอบครัวที่พลัดพรากจากการหลบหนีการโจมตีทางอากาศก็ได้กลับมาพบกัน แต่ผมเฝ้าสงสัยว่า จะมีกี่ครอบครัวที่ยังหากันไม่พบ และมีอีกกี่ครอบครัว ที่จะไม่มีวันได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก มีพ่อและแม่ของนักรบของเราอีกกี่คนที่จะไม่ได้พบเห็นลูก ๆ ของพวกเขาอีกแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะมีทหารกลุ่มหนึ่งที่ต้องการอำนาจ และคิดว่าพวกเขามีอำนาจกุมชะตาชีวิตทุกคนด้วยการกระทำที่โหดเหี้ยม
ผมมองไปรอบ ๆ ที่นี่มีทั้งคนที่หนีภัยจากในเมือง บางครอบครัวก็คือชาวเมืองเลเก้ก่อที่เป็นคนกะเหรี่ยง พวกเขาหนีมากี่ครั้งกี่หนแล้ว ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองแล้วว่า ชีวิตของชนชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามและความบ้าคลั่งในอำนาจนั้นมันขมขื่นเพียงไหน และเหตุผลที่ชีวิตของพวกเขาต้องเป็นอยู่แบบนี้ มันช่างไร้สาระเสียจริง ๆ
แล้วพวกเราก็ถูกเรียกให้รวมตัวกันอีก เพื่อจะย้ายไปยังค่ายพักอีกแห่งที่ห่างไกลจากการสู้รบที่กำลังดุเดือด ครอบครัวเราอยู่ในกลุ่มแรกที่ถูกส่งขึ้นขบวนรถที่มีด้วยกันห้าคัน ทุกคนมีแต่ความเครียด กลัว และวิตก เสียงปืนดังกึกก้องตลอดเวลา ถนนบนดอยคดเคี้ยว ไต่ขึ้นที่สูงชัน และเลี้ยวลง ขึ้นลง ไม่รู้จบสิ้น รถขับอย่างรวดเร็วมาก หากไม่ได้คนขับรถเก่ง ๆ อย่างชาวบ้านในพื้นที่แล้วเราจะไม่มีทางรอด เสียงปืนใหญ่ยังดังโครมครามไล่หลังมาติด ๆ เริ่มห่างลง แล้วในที่สุด เราก็มาถึงค่ายลี้ภัยริมแม่น้ำเมยจนได้
ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่มีหลังคาคุ้มหัว ไม่มีกำแพงปกปิด หากคุณเป็นผู้หนีภัยสงคราม การมีชีวิตรอดคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว พวกเราที่มาด้วยกันช่วยกันสร้างเพิงพักจากทุกสิ่งอันที่หาได้แถวนั้น แต่พอถึงเวลาที่ผมคิดว่าจะได้นั่งลงพักเหนื่อยบ้าง เราก็ได้รับคำบอกว่า การสู้รบรุนแรงขึ้นและขยับเข้าใกล้มาอีกแล้ว ครอบครัวผมและครูอีก 4 คนจึงเลือกที่จะเดินทางหนีต่อไป ทิ้งทุกอย่างตรงนั้น รีบรุดเดินทางต่อจนถึงค่ายพักอีกที่หนึ่งห่างลงไปทางใต้ เมื่อไปถึงจุดหมาย เราเหนื่อยทั้งกายและใจจนไม่มีใครพูดอะไรกันสักคำ ผมล้มตัวลงนอน หลับผล็อยลงได้ครั้งแรก หลับเป็นตาย น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบเดือนนั้นที่ผมหลับได้สนิทอย่างนี้
ผมจำได้ว่ามันเป็นวันคริสต์มาส อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเมย มีหมู่บ้านไทยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ พวกเขาอยู่ใกล้มาก เหมือนกับว่าถ้าเรากระโดดข้ามน้ำไปก็น่าจะเอื้อมแตะมือของพวกเขาได้แล้ว แต่ที่ผมทำได้ ก็คือการยืนมองผู้คนอีกฝั่งน้ำอย่างอิจฉา พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างเสรีและปลอดภัย ขณะที่อีกฝั่งน้ำเต็มไปด้วยคนหนีภัยที่มีแต่ดวงตาที่หวาดหวั่น ไม่รู้ว่าจะต้องลุกหนีอีกเมื่อไรและจะไปที่ไหน
ในขณะนั้น สิ่งที่ทำให้ยังยืนหยัดต่อไปได้ ก็คือความเชื่อมั่นว่า การต่อสู้ของเราจะต้องได้รับชัยชนะ เสรีภาพจะกลับคืนมาเป็นของเรา ผมเชื่อเต็มหัวใจของผมอย่างนั้น อีกไม่นานหรอก ผมบอกตัวเอง เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างเสรีและสันติ เหมือนกับคนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเหมือนกัน เพราะมันเป็นการต่อสู้ที่เราจะพ่ายแพ้ไม่ได้
แด่นักสู้ทุกคน
สะยา ฆา
ภาพประกอบ 1. ผู้ลี้ภัย ธันวาคม 2564 cr : KIC, 2.
ตอนที่ 1 การต่อสู้ที่พ่ายแพ้ไม่ได้ บันทึกของผู้ลี้ภัย
ตอนที่ 2 ย่ำตามรอยเท้าแห่งความเจ็บปวด
ตอนที่ 3 ตามรอยเท้า
ตอนที่ 4 บนเส้นทางที่คดเคี้ยว