หรือว่าเราถูกลืม

หรือว่าเราถูกลืม

| | Share

หรือว่าเราถูกลืม

MNT ตัดสินใจย้อนกลับไปจับอาวุธสู้ หลังจากที่การลี้ภัยในไทยไม่สามารถทำให้เขามองเห็นอนาคต

MNT และครอบครัวคือส่วนหนึ่งของคลื่นมนุษย์ที่หลั่งไหลออกจากตอนกลางประเทศพม่าซึ่งมีการปราบปรามผู้ต่อต้านเผด็จการทหารอย่างเข้มข้น การเข้าร่วมประท้วงรัฐประหาร 1 ก.พ. 2564 ทำให้ภรรยาเขาถูกไล่ออกจากงานพยาบาล ขณะที่ตัวเขาก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อเจ้าหน้าที่บุกค้นบ้านและจับกุมคนรอบข้างไปสอบสวน ลูกพี่ลูกน้องที่ร่วมระดมทุนช่วยเหลือกิจกรรมการเมืองถูกจำคุก ครอบครัวของ MNT เตลิดหนีกันไปคนละเมือง ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะมาพบกันอีกที่เขต “อิสระ” ณ ชายแดนไทย-พม่า 

เส้นทางหลบหนีเอาชีวิตรอดนำ MNT มาเข้าร่วมการฝึกอาวุธกับกองกำลังชาติพันธุ์ “ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยต่อสู้กับใคร แต่การรู้จักป้องกันตัวเองบ้างก็เป็นสิ่งจำเป็นในขณะนี้” เขาบอก และย้ำว่าตัวเองไม่เคยคิดจะจับอาวุธสู้ เพราะไม่ได้มีความสามารถในการสู้รบ ตลอดจนอายุก็เลยวัยหนุ่มแน่นไปแล้ว หลังจากจบหลักสูตรฝึก เพื่อนจำนวนหนึ่งไปเข้าร่วมกับกองกำลังประชาชนป้องกันตนเอง PDF (People’s Defense Force) ขณะที่เขาได้พบกับเมียและลูกสาวลูกชายวัยเก้ากับหกขวบดังหวังที่เมืองชายแดน “เลเก้ก่อ” ซึ่งขณะนั้นคือเขตหลบภัยของทั้งนักการเมืองและผู้เข้าร่วมขบวนอารยะขัดขืน “CDM” (Civil Disobedience Movement) ภายใต้ความคุ้มครองของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU 

แม้คนที่เลเก้ก่อจะค่อย ๆ ทะยอยข้ามแดนมาลี้ภัยในประเทศไทย MNT ก็ตั้งใจจะอยู่ในเขต “อิสระ” นี้ไปเรื่อย ๆ เขาไม่มีความคิดอยากจากบ้านจากเมือง และไม่ได้สนใจที่จะไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศห่างไกล แต่แล้วในเดือนธ.ค. 2564 กองทัพพม่าก็จู่โจมเข้า “ลักพาตัว” คนในเลเก้ก่อ ตามมาด้วยการระดมยิงปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศในช่วงคริสต์มาส ครอบครัวของ MNT จึงต้องหนีเอาชีวิตรอดข้ามแม่น้ำเมยมาพร้อมกับชาวบ้านท้องถิ่นหลายพันคน และพักหลบภัยอยู่ในพื้นที่ที่ทางการไทยจัดให้ 

ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงในเมืองไทย MNT ก็ได้รับรู้ว่า คำอนุญาตให้หลบภัยของทางการไทยจะมีกำหนดเวลาไม่กี่วัน จากนั้นทุกคนจะถูกผลักดันกลับ ทั้งเขาและเพื่อนร่วมขบวน CDM จึงต้องพยายามหาทางออกสู่ที่ปลอดภัยอื่น ทุกคนไม่กล้าเสี่ยงไปเป็น “ผู้พลัดถิ่นในประเทศ” เหมือนกับชาวบ้านท้องถิ่น เพราะอาจถูกพบเจอโดยกองทัพพม่า สายข่าว หรือกองกำลังที่สนับสนุนกองทัพพม่าได้ 

MNT จึงเป็นทั้งผู้ที่หนีการประหัตประหารจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นผู้ลี้ภัยสงคราม และผู้หลบหนีเข้าเมืองที่ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เด็ก ๆ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัวถูกจับ และการใช้ชีวิตในสถานะคนเข้าเมืองผิดกฎหมายมีราคาแพงลิบลิ่ว เขากับเมียขายเครื่องประดับทรัพย์สินทุกอย่างที่มี หยิบยืมจนไม่รู้จะบากหน้าไปที่ไหนต่อ ค่ากินอยู่ในชายแดนปัจจุบันสาหัสด้วยน้ำมันพืชขวดละกว่าร้อย ซ้ำยังมีค่าใช้จ่ายของการที่จะอยู่ให้ได้โดยไม่ถูกจับส่งกลับไปสู่มือทหารพม่าอีกด้วย 

ในสังคมคนลี้ภัย ข้อมูลข่าวสารถ่ายทอดถึงกัน MNT ได้เรียนรู้จากผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมาถึงเมืองไทยก่อนว่า ปัจจุบันไทยยังไม่มีช่องทางที่จะเปิดให้เขาสามารถขอลี้ภัยอยู่ได้ตามกฎหมาย และแม้แต่สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากจะเป็นเส้นทางให้ลี้ภัยไปต่างประเทศ ซึ่งกระบวนการไปประเทศที่สามนั้นก็เลือนลางเต็มทน คนมากมายรอคิวสัมภาษณ์มาแล้วหลายเดือนเช่นเดียวกับเขา หลายคนที่ผ่านการสัมภาษณ์ไปแล้วหลายเดือนก็ยังรอคอยต่อโดยไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และจะมีคำตอบหรือไม่ กระบวนการแต่ละขั้นตอนเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะที่เขานั่งมองนาฬิกาในโทรศัพท์ที่ตัวเลขขยับไปแต่ละนาที

ชีวิตของ MNT ดำเนินไปแต่ละวัน ด้วยการค้นหาข้อมูลและทำตามคำแนะนำของเพื่อนฝูงคนรู้จัก ที่ให้ลองพยายามติดต่อสถานทูต หน่วยงาน หรือกลุ่มต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะได้รับการตอบกลับแบบอัตโนมัติ ที่ระบุให้รอคอยไปก่อนเนื่องจากมีผู้ติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก หรือไม่ก็แจ้งกลับมาว่า หน่วยงานนี้ไม่มีภาระหน้าที่ที่จะสามารถช่วยเหลือเขาได้ ในที่สุดเขากับเมียก็เริ่มคิดถึงการหางานทำ แต่การจะหางานดี ๆ โดยไม่มีเอกสารอะไรเลยก็เป็นไปได้ยาก ชายหนุ่มที่เขารู้จักตัดสินใจไปทำงานที่ภูเก็ตตามคำชักชวนของคนแถวห้องเช่า แล้วก็หายไปขาดการติดต่อ ผู้หญิงบ้านข้าง ๆ ได้งานทำงานบ้านแต่ทำไปเดือนหนึ่งก็ไม่ได้ค่าจ้างแถมยังโดนลวนลาม

ในที่สุด MNT เริ่มหมดความอดทนกับการรอคอยติดต่อขอความช่วยเหลือ ถึงแม้จะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ด้วยคนที่ลุกยืนขึ้นสู้ด้วยกันนั้นเป็นตัวเลขนับแสน เขาก็เคยเข้าใจว่า การต่อสู้ที่กล้าหาญของประชาชนพม่าจะได้รับการให้คุณค่ามากกว่านี้ 

“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปสู้ด้วยตัวเอง” MNT ทิ้งจดหมายบอกกล่าวไว้ นั่นไม่ได้หมายความว่ากลับบ้าน เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับข่าวจากญาติว่าบ้านของเขาถูกยึดไปแล้ว 

“ผมขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทกับการให้ความช่วยเหลือในยามยาก และไม่ลืมพวกผม แต่ตอนนี้คุณควรไปช่วยคนอื่นตามที่จำเป็น เพราะผมไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว ผมไม่ต้องการรอความช่วยเหลือจาก UNHCR อีกต่อไป ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากประเทศไหน ไม่ต้องการขออะไรจากใคร ผมรู้แล้วว่าในที่สุดก็ไม่มีใครช่วยเราได้จริง ๆ ผมได้พาเมียกับลูกไปฝากไว้ในสถานที่ปลอดภัย และจะกลับไปต่อสู้ด้วยมือของผมเอง”

14 พฤษภาคม 2565

หมายเหตุ : MNT เป็นชื่อสมมติของบุคคลที่มีอยู่จริง มีคนอย่าง MNT อีกหลายร้อยพันที่ความกล้าหาญของพวกเขาไม่ควรถูกลืมเลือน 

ภาพประกอบ : สายใยข้ามชาติ ภาพวาดเยาวชนรางวัลดอ ธาน ธาน ลำดับที่ 1 โดย บุตรี สีสุดต

Related