รองเท้าที่หายไป

รองเท้าที่หายไป

| | Share

รองเท้าที่หายไป

วันนี้เป็นวันที่สามนับตั้งแต่มีการรบกันในฝั่งรัฐกะเหรี่ยงไม่ไกลจากบ้านผม  เสียงปืนใหญ่ดังต่อเนื่องทุกนาที  บางครั้งผมรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนแม้ว่านั่งอยู่ในบ้าน โมและปาออกไปส่งสิ่งของด้วยกันตั้งแต่วันแรก  ผมอยู่บ้านกับแมวหนึ่งตัว หมาสองตัว และพี่สาวที่เป็นญาติตลอดสองวัน  ถึงผมจะไม่ได้ไปส่งของด้วย แต่จากการฟังโมกับปาคุยกัน ผมว่าที่ที่ชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่จะต้องลำบากมากเเน่ ๆ ด้วยอากาศที่ร้อนจัด และฝุ่นควันหนา

วันนี้โมกับปาชวนผมออกไปส่งของที่แม่ระมาดด้วย เพราะชาวบ้านกลุ่มใหญ่รวมถึงนักเรียนและครูอพยพกันมาทั้งโรงเรียน  ปาและน้าของผมทำงานด้านการศึกษากับโรงเรียนนี้มาก่อน 

ตอนไปถึง ในสภาพอากาศที่ร้อนและมีร่มไม้ไม่มาก ผมเห็นความแออัดของคนจำนวนมากที่ต้องอยู่ในเต็นท์ พวกเขาลำบากยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้  พื้นที่โล่งกว้างของแปลงเกษตรขนาดใหญ่ที่เตรียมรอลงมันสำปะหลังมีเต็นท์กางพอให้ร่มเงา  คนเบียดกันหลบอากาศร้อน บางคนอาศัยอยู่ใต้ที่ร่มของต้นไม้ที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย  บางคนนั่งบนเสื่อกลางแดดจ้า  ผมเข้าไปหลบแดดในอาคารที่ดูเหมือนโรงอาหารก่อนที่โมกับปาจะเดินไปคุยกับคนที่ดูแลสถานที่ 

The lost shoes

Today is the third day since the battle in Karen State took place. It was not far from my home. The sound of the cannon continued every minute. Sometimes I felt the vibrations even if I was sitting in the house. Mo and Pa have been delivering things together since day one. I was home for two days with a cat, two dogs, and Naw Naw. Even though I would not be able to deliver things, from listening to Mo and Pa talking, I thought the place must be tough due to the hot weather and fewer trees.

Today, Mo and Pa suggested I go to Mae Ramad because many villagers, students and teachers fled to the border. When the weather was hot, there was no place for me to hide from the strong sunlight. The tents were packed with so many people that it was worse than I thought. The wild area of ​​the large agricultural plots prepared to plant cassava had only tents to provide shade. People shared space in the tents to avoid the hot weather. Some stayed under the shadow of a few trees. I entered a building that looked like a cafeteria before Mo and Pa walked over to talk to the man who owned the place.

ผมพบเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  ปาเล่าว่าน้องเขาหนีมาไม่มีอะไรเลยทั้งเสื้อผ้ารองเท้าและพ่อแม่  น้องคนนี้อายุประมาณแปดขวบ  เขาหนีมาพร้อมกับพี่ ๆ นักเรียนเมื่อช่วงเช้ามืด  พี่ ๆ เล่าให้ปาฟังว่า  น้องเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่  พวกเขาคิดว่าพ่อน้องน่าจะเป็นทหาร  แต่ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าพ่อของน้องตอนนี้อยู่ที่ไหน ยังคงมีชีวิตอยู่หรือเปล่า และเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยากจะถามให้รู้สึกเศร้าใจไปมากกว่านี้ คุณตาที่ดูแลโรงเรียนรับน้องไว้ในการดูแล และตอนนี้ทุกคนที่โรงเรียนต่างก็หนีกันมาอยู่ที่ชายแดนฝั่งไทย

ตอนที่เราพบกัน น้องเดินเท้าเปล่าและมีเสื้อผ้าติดตัวเพียงชุดเดียว  ก่อนออกจากบ้านเมื่อเช้า โมกับปาคิดถึงแต่เรื่องอาหารการกิน  เราจึงมีเพียงเสื้อผ้าถุงเล็ก ๆ ถุงเดียวติดมาด้วย  แต่เราไม่มีรองเท้าสำหรับเด็ก  น้าของผมถอดรองเท้าให้น้อง แต่รองเท้าขนาดใหญ่กว่าเท้ามาก  น้องดูลังเลที่จะรับรองเท้าของน้าผมไว้  ผมตัดสินใจถอดรองเท้าแตะที่ใส่มาให้ เพราะขนาดเท้าเราไม่ต่างกันมาก  สีหน้าน้องดูดีใจกับรองเท้าแตะสีดำเรียบ ๆ กับเสื้อยืดตัวโคร่งสองตัวที่เราพอจะหาได้จากถุงเสื้อผ้าที่เอาติดไปด้วย

I met a boy. PaPa said he ran away with nothing, clothes, shoes, and parents. This kid was about eight years old. He fled together with the students and villagers in the early morning. He told Pa that he was an orphan without parents. They thought that his father was probably a soldier. But no one can tell for sure where his father is now alive. And no one wanted to ask for more sad details. Finally, the grandfather, who is a principal of the school, decided to take care of the kid, and now everyone fled due to the border clash. 

He walked barefoot and had only one set of clothes. Our house only thought about food, so we only had a small bag of clothes, but we did not have shoes for them. My aunt took off her shoes. But the shoes were far larger than the kid’s feet, and they caused uncomfortable walking. He accepted my aunt’s shoes with no other choice. I decided to take off my slippers. Because the size of our feet was not much different, his face looked happier. We gave him T-shirts we could only find in our bag.

ปาให้ผมขี่หลังตลอดช่วงเวลาที่เราเดินไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อสอบถามความต้องการ ให้กำลังใจ รวมถึงการเข้าไปช่วยจัดการเรื่องที่พักคืนนี้ให้กับคนที่หนีมา  ผมกลับขึ้นรถด้วยความรู้สึกเหนื่อย และมากไปกว่านั้นคือความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน  ผมอธิบายมันออกมาไม่ถูก  ผมคิดมาตลอดทางกลับบ้านว่าเราจะมีสงครามไปทำไม  ผมไม่เห็นว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะคุ้มกับชีวิตและสิ่งที่ต้องสูญเสียไป ผมคิดเรื่องนี้มาหลายครั้ง จนคำพูดหนึ่งของปาแวบเข้ามาในความคิด  ปาเคยพูดไว้ว่าสงครามไม่เคยมีผู้ชนะ  และการสูญเสียก็ไม่เคยคุ้มค่า  ผมถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้ามาก  ผมคงไม่มีทางรู้สึกแบบเดียวกับคนที่มีประสบการณ์หนีเอาชีวิตรอดจากสงครามได้ ประสบการณ์วันนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ผมเข้าไปใกล้ได้มากที่สุด ผมนั่งพักชั่วครู่ และเริ่มต้นเขียนถึงเรื่องนี้

ด.ช. โปโป อายุ 10 ขวบ
เขียนเมื่อ 7 เมษายน 2566

PaPa let me be on his back while we were asking people about living places for tonight and food to survive. I got back in the car with a feeling of tiredness. And more than that, many feelings were mixed up because of the situation that I faced. I cannot explain clearly how the feelings depressed me. On my way back home, I was thinking that’s why wars happen. But I realized the war is not worth anything, and everyone loses. I have been thinking about this many times. Then I remembered what PaPa said that war is not worth it, and nobody really wins. I went back home feeling tired but decided to write down this story in my notepad. 

Popo
7 April 2023

Related