ผมได้เป็นคนพลัดถิ่นแล้ว

ผมได้เป็นคนพลัดถิ่นแล้ว

| | Share

ผมได้เป็นคนพลัดถิ่นแล้ว
This summer I am displaced
Diary of the Wild Birds

ห้าปีก่อน ตอนที่ผมกับเพื่อนทำสารคดีเรื่อง Opportunity Costs : Diary of the Wild Birds ติดตามเรื่องของการศึกษาในระบบของกะเหรี่ยงและระบบของรัฐบาลพม่าในดูปลายา เรานึกไม่ถึงเลยว่า มันจะมีวันที่พื้นที่ตรงนี้ – บ้านของเรา – ลุกเป็นไฟ

ผมจบการศึกษาจากศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ (migrant school) และแผนการเรียนเตรียมเข้าวิทยาลัย แต่ผมไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย ผม ซึ่งชอบสัปหงกในชั้นเรียนเป็นประจำจนทุกคนจำได้ ได้กลับมาเป็นครูในรัฐกะเหรี่ยง แต่งงาน และมีลูก 

ดูเหมือนว่าชีวิตผมจะสุขสงบไม่เหมือนกับเพื่อน ๆ อีก 4 คนในทีมที่ยังโลดแล่นไปไหนต่อไหน

แต่รัฐประหารปี 2564 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลูกชายของผมตอนนี้อายุได้สองขวบกว่า ตั้งแต่เกิดมา เขาก็ต้องเผชิญกับการปกครองของกองทัพพม่า ลูกของผมรู้จักการหนีภัยตั้งแต่อายุได้แค่ขวบกว่า ๆ เท่านั้น 

ในปีแรกนั้นไม่เท่าไหร่ ผมออกไปร่วมขบวนประท้วงต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพพม่า แต่ศึกสงครามยังมาไม่ถึง  พอในปี 2565 มีหลายช่วงจังหวะเวลาที่ผมต้องหนีไปอยู่ในป่าในไร่ของชาวบ้าน เพราะกองทัพพม่ายิงปืนใหญ่เข้ามาในพื้นที่ หรือมีการทิ้งระเบิดลงอยู่ในพื้นที่ถัดไป ตอนนั้นเราไม่ต้องไปหลบนานนัก และก็ปลอดภัยมาทุกครั้ง 

แต่ผมก็รู้ดีว่า ความรุนแรงมันเพิ่มขึ้นทุกขณะ ปีที่แล้ว เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มบ้านของเรา ถูกกระสุนปืนใหญ่ตายบนบ้านขณะที่เธอกำลังหุงข้าวตอนเช้า ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ใกล้ตัวขึ้นมาทุกที

แล้วก็จริง ปีนี้การสู้รบหนักเกิดขึ้นไม่ไกลจากโครงการฉ่วยก๊กโก่ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือถัดไปจากกลุ่มหมู่บ้านที่ผมอยู่  ด้วยความที่เป็นช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ ในหอพักกลับไปอยู่บ้านตัวเอง และผมกลับมาอยู่ในหมู่บ้านของเมียผม เราจึงไม่ต้องเป็นห่วงเด็ก ๆ มากนัก ในระหว่างการปะทะหนักที่เกิดขึ้นอยู่ราว ๆ 5 วัน ชาวบ้านในกลุ่มบ้านแถบนี้ทะยอยออกจากชุมชน เรารู้ดีว่า อีกแค่อึดใจเดียว สงครามก็จะมาถึง

ชาวบ้านแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ผมอยู่ในกลุ่มที่เดินทางลงใต้ไปไกลหน่อย ไปพักอยู่กับหมู่บ้านที่เคยเคยต้องหนีสงครามข้ามแม่น้ำเมยไปมาระหว่างฝั่งไทยกับรัฐกะเหรี่ยงอยู่ตลอดทั้งปีที่แล้วนั่นแหละ ฟังเหมือนเรื่องตลก แต่เราไม่ได้มีทางเลือกมากนักในการหนี เพราะเราข้ามมาฝั่งไทยไม่ได้  

ในวันที่ 11-12 เมษายน พอทหารฝ่ายต่อต้านล่าถอย เครื่องบินรบของกองทัพพม่าก็ทิ้งระเบิดลงที่หมู่บ้านของผม  ถล่มหมู่บ้านด้วยปืนใหญ่ แล้วทหาร BGF ซึ่งเป็นทหารกะเหรี่ยงที่ร่วมมือกับกองทัพพม่า ก็บุกเข้ามาที่หมู่บ้าน เผาบ้านชาวบ้านและโบสถ์ เหลือแต่เถ้าถ่าน 

ผมตอบไม่ถูกหรอกว่า ผมรู้สึกยังไง ถ้าถามว่าทำไมทหาร BGF ต้องเผาหมู่บ้านผมด้วย เราก็จะได้รับคำตอบว่า เพราะพวกเขามาตามล่าหาตัวทหารฝ่ายต่อต้าน ซึ่งก็เป็นทหารกะเหรี่ยงด้วยกันและพวก PDF ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่หนีเข้าป่า แต่ถ้าให้ผมตอบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เอาแบบทันทีไม่ต้องคิดเลย ผมจะตอบว่า 

“คงเพราะเขาเกลียดชาวบ้าน”​ ก็ถ้าคนเราไม่เกลียดชังกันแล้ว ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ ผมไม่รู้เหมือนกัน

ในวันหยุดเทศกาลติงยานหรือสงกรานต์ ผมกับเมียและลูกจึงเป็นผู้พลัดถิ่น นอนในเต็นท์ และรอรับความช่วยเหลือ ทางชุมชนที่เราไปพักด้วยจัดหาความช่วยเหลือมาให้ จะเพียงพอหรือไม่เพียงพอ เราก็อยู่กันได้ ผ่านไปไม่กี่วัน ครูที่หนีภัยพลัดถิ่นก็เริ่มประชุมกันเรื่องจะจัดการศึกษาต่อ ถึงจะอยู่ในช่วงหนีสงคราม งานของเราก็ยังต้องทำต่อ 

ตอนเป็นเด็ก ผมไม่เคยต้องหนีแบบนี้เลย  ผมถูกส่งตัวมาเรียนหนังสือในเมืองไทยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามและการบังคับเกณฑ์ทหาร  ผมคิดถึงเพื่อน ๆ  นี่ถ้าหากเรื่องทั้งหมดจบลงและเราทุกคนปลอดภัยกันดี เราคงได้มาเจอกันอีกครั้ง แล้วเราคงจะพูดตลกต่อกันว่า 

ฤดูร้อนปีนี้  ผมได้หนีสงครามเป็นคนพลัดถิ่นเหมือนกับคนกะเหรี่ยงอื่น ๆ แล้วนะ

หนึ่งในสมาชิกทีม Wild Birds  
เจ้าของหนังสั้นรางวัลชนะเลิศช้างเผือกพิเศษสามปีซ้อน The Misplaced Flowers, Last Summer, Last Year in A Refugee Camp และสารคดี Opportunity Costs : Diary of the Wild Birds

ภาพประกอบ
1. กลุ่มผู้พลัดถิ่นจากกลุ่มชุมชนแม่กะแน โดย ผู้เล่าเรื่อง
2. โรงเรียนที่ผู้เล่าเรื่องสอนอยู่
3. ภาพการเผาหมู่บ้านแม่กะแน จาก Karen Information Center

Related