ดาวดวงใหม่เรื่องเล่าของครูคนพลัดถิ่น

ดาวดวงใหม่เรื่องเล่าของครูคนพลัดถิ่น

| | Share

ดาวดวงใหม่เรื่องเล่าของครูคนพลัดถิ่นชาวกะเรนนี

(1) เส่เต๊ห์เป็นภาษากะยาห์ แปลว่าดาวดวงใหม่ ฉันเป็นชาวกะยาห์ในรัฐกะเรนนี ฉันภูมิใจที่ได้เป็นครูโรงเรียนเส่เต๊ห์ ที่ช่วยให้เด็ก ๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระบบได้เป็นดาวดวงใหม่ที่เปล่งประกาย


(2) ฉันเกิดในปีพ.ศ. 2538 พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่แม่ยังไม่คลอด ตั้งแต่เกิดมา รัฐกะเรนนีก็อยู่ในภาวะสงครามเสมอ เมื่อไรที่การสู้รบเกิดขึ้นใกล้ หมู่บ้าน เราก็ต้องหลบหนีไปซ่อนอยู่ในป่าใกล้ ๆ บางช่วงเราไม่ได้นอนในบ้านตัวเอง แต่จะไปนอนในป่าในไร่แล้วกลับมาตอนเช้า เมื่อแม่แต่งงานใหม่ ฉันมักไปอาศัยอยู่กับญาติคนนั้นบ้าง ครูคนนี้บ้าง เพราะไม่ค่อยสบายใจที่จะอยู่บ้าน ชีวิตของฉันเป็นแบบนี้จนอายุได้ 15 ปีและเรียนจบชั้นมัธยมต้น แม่บอกว่าไม่มีเงินพอจะส่งไปเรียนต่อมัธยมปลายในเมืองได้ ฉันรู้ว่าทางเดียวที่จะได้เรียนต่อก็คือต้องไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ที่นั่นมีโรงเรียนที่ดีและมีผู้ที่ช่วยเหลือเรา ฉันจึงตัดสินใจเดินเท้ามากับลุงที่เป็นทหารกะเรนนีจนถึงประเทศไทย


(3) ฉันถึงค่ายผู้ลี้ภัยกะเรนนีที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในปีพ.ศ. 2553 ไม่รู้จักใครที่นั่นเลย ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งที่ไม่มีลูกให้ฉันพักอยู่ด้วยจนกระทั่งได้ย้ายเข้าหอพักนักเรียนและอยู่ที่นั่นต่อจนจบมัธยมปลาย ฉันเรียนต่อวิทยาลัยชุมชนกะเรนนีในค่าย และสมัครไปเรียนหลักสูตรเตรียมสอบ GED (General Education Development) ซึ่งเป็นการเทียบวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ ที่ศูนย์การเรียนมินมาฮอที่แม่สอด ถึงแม้เมื่อเรียนจบแล้วฉันจะไม่สามารถขอทุนสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยนานาชาติในไทยได้อย่างที่หวัง อีกทั้งแม่ก็อยากให้ฉันทำงานหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว การเรียนแต่ละแห่งก็ทำให้ฉันได้รู้จักตัวเองมากขึ้น 


(4) ฉันชอบการเรียนรู้ ฉันเคยสมัครเข้าเรียนหลักสูตรการเขียนเพื่อการคิดวิเคราะห์ที่เชียงใหม่อยู่สามเดือน เรียนหลักสูตรการพัฒนาองค์กรของมหาวิทยาลัยพายัพอยู่อีกแปดเดือนที่กรุงลอยก่อ รัฐกะเรนนี ระหว่างเรียนก็ไปทำงานพาร์ทไทม์กับองค์กร Social Development Initiative (SDI-Myanmar) เพื่อประสบการณ์และเงินค่ากินค่าอยู่ในเมือง นอกจากนี้ฉันยังเคยไปช่วยงานวิจัยกระบวนการสันติภาพขององค์กรเยาวชนกะเรนนี ฝึกสอนที่ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ CDC แม่สอด และเป็นครูของวิทยาลัยชุมชนกะเรนนีที่ฉันเคยเรียนอยู่อีกด้วย


(5) ฉันสอนหนังสือครั้งแรกเมื่ออายุได้ 19 ปี ถึงบัดนี้ฉันอายุ 26 ปีแล้ว ประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตได้นำมาใช้กับศูนย์การศึกษาเส่เต๊ห์ เดมอโซ ที่นี่เราจัดหลักสูตรสามปีสำหรับเด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนต่อในระบบ หรือไม่สามารถสอบมาตรฐานกลางของรัฐบาลเพื่อไปเข้ามหาวิทยาลัยพม่าได้ นักเรียนของฉันจึงมาจากชุมชนหลากหลายทั้งในเมืองและชนบท พวกเขามีพื้นฐานการศึกษาต่างกัน มาจากสภาพแวดล้อมต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาล้วนถูกตัดขาดออกจากการพัฒนาสังคม ดังนั้น เส่เต๊ห์จึงเป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กำลังก้าวไปข้างหน้า และยังได้ใช้ชีวิตแบบเด็ก ๆ ที่สนุกสนานกับการเรียนรู้ต่อไป


(6) เส่เต๊ห์จัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานข้อมูลความรู้ ทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ เพื่อให้เยาวชนได้พัฒนาตัวเอง มีความเป็นผู้นำ และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพที่จะขับเคลื่อนชุมชนต่อไปได้ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พวกเขาก็จะใช้ทักษะอาชีพเป็นประโยชน์ต่อการทำงานด้วย


(7) เมื่อผู้คนพากันหลบหนีภัยสงครามจนแทบไม่เหลือชุมชนที่อาศัยอยู่ได้เป็นปกติที่เดมอโซ อีกทั้งเยาวชนคนหนุ่มสาวก็ยังตกเป็นเป้าการกวาดล้างปราบปรามของกองทัพพม่า เส่เต๊ห์และฉันจึงย้ายมาตามมาด้วย พวกเรามาอยู่ติดชายแดนไทยในฐานะผู้พลัดถิ่นในประเทศ


(8) นักเรียนส่วนหนึ่งคือนักเรียนเก่าจากเดมอโซ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือเด็ก ๆ ที่หนีตายมาชายแดนกันตามลำพัง พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีโอกาสเรียนหนังสือ บางคนคิดว่าจะมาสมัครเป็นทหารกะเรนนีเพื่อจับปืนสู้กับกองทัพพม่า ซึ่งเมื่อได้เรียนรู้แล้วก็อยากหันเหการต่อสู้กับเผด็จการเป็นวิธีอื่นก็มี แต่บางคนก็ยังคิดว่าจะเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยสมัครเป็นทหาร เพื่อที่จะได้เป็นทหารที่มีความรู้และทันโลก


(9) ทุกวันนี้ฉันไม่มีความหวังในการกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในเดมอโซ ฉันไม่เชื่อว่าจะมีสันติภาพและเสรีภาพภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารพม่า เราคนกะเรนนีคุ้นชินกับการอพยพและพลัดถิ่นฐานเสียจนการจะโยกย้ายไปตั้งรกรากใหม่ที่ไหนก็ไม่ใช่ความลำบากแล้ว ฉันอาจจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกหรือประเทศไทยถ้าหากว่าจะได้รับอนุญาตให้อยู่ ฉันเคยมีความฝันว่าจะได้เรียนหนังสือและทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ งานพัฒนาหรือด้านมนุษยธรรม แต่ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขกับการเป็นครู ฉันมีความสุขเสมอที่ได้เห็นเด็ก ๆ เติบโตขึ้นจากคนที่เคยรู้สึกแปลกแยกกลายมาเป็นหนุ่มสาวที่มั่นใจ กล้าคิดกล้าพูด และกล้าเดินไปข้างหน้า แต่ละวันฉันได้เรียนรู้ว่า การที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยก็อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตคนและสังคมได้ เราต่างต้องต่อสู้กับความทุกข์ยากที่เผชิญในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้เสมอ

— 6 ตุลาคม 2564 —

Related